พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2025 เทศกาลเตรียมรับเสด็จ

          “สมัยของโนอาห์เป็นเช่นไร เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้น ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ ไม่มีใครนึกระแวงว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนกระทั่งน้ำวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย เวลานั้น คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ “จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรู้ว่าขโมยจะมาในยามใด เขาคงจะตื่นเฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย
(มัทธิว.24:37-44)








วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เด็กที่ฝากผลงานไว้ให้โลก1

Anne Frank
กับไดอารี่ทีทำให้ทั้งโลกต้องหลั่งน้ำตา

             แอนน์ แฟรงค์ เด็กสาวชาวยิว อายุ 13 ปี ผู้ได้รับสมุดไดอารี่เป็นของขวัญวันเกิดในปี ค.ศ. 1942 ท่ามกลางไฟสงคราม ซึ่งในขณะนั้น อดอฟ ฮิตเลอร์ ผู้ปกครองเยอรมันนี ได้ออกนโยบายกำจัดชาวยิว จนกระทั่งครอบครัวแฟรงก์ซึ่งเป็นยิวกลัวภัยอันตรายจึงต้องหลบหนี และได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวหนึ่งให้ซ่อนอยู่ในห้องใต้หลังคานั้น
แอนน์ ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งความหวาดกลัว ชีวิตความเป็นอยู่ การหลบซ่อน หรือกิจกรรมฆ่าเวลาเพื่อให้ผ่านไปแต่ละวัน โดยที่เธอไม่มีวันรู้เลยว่าบันทึกชีวิตประจำวันของเธอเล่มนั้น วันหนึ่งจะกลายเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก
วันหนึ่ง ทหารนาซีสืบค้นจนพบครอบครัวรวมทั้งตัวเธอ  ทุกคนถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ของนาซี ใช้ชีวิตราวนรกบนดิน  ครอบครัวถูกแยกออกจากกัน เด็กและคนแก่ต้องโดนรวมแก๊ซพิษจนตาย แอนน์รอดมาได้เพราะอายุเกินเกณฑ์มาอย่างหวุดหวิด แต่ท้ายที่สุด แม่ พี่สาว และแอนน์ แฟรงค์ก็เสียชีวิตในที่สุด ก่อนทหารอังกฤษจะเข้ามาปลดปล่อยนักโทษได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น พ่อของเธอเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต  เขาได้กลับมายังบ้านกระทั่งพบไดอารี่ของเธอและทำการตีพิมพ์หนังสือ ไดอารี่ของแอนน์ แฟรงก์ หลายปีต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมทั่วโลก ในฐานะของหลักฐานที่เล่าถึงเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่โด่งดังที่สุดและเป็นวรรณกรรมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกชิ้นหนึ่ง
นิตยสารไทมส์ ยกให้แอนน์ แฟรงก์ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การกลับฟื้นคืนชีพของพระเยซูเจ้า



พระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนชีพจากความตายจริงหรือ? หลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อของคริสตชน
มากกว่า 2000 ปี ที่ชายผู้หนึ่งที่มาจากกาลิลีถูกประหารชีวิต  อย่างไรก็ตาม  สามวันหลังจากนั้น เขาก็กลับฟื้นคืนชีพจากความตาย  ทำให้บรรดาผู้มีความเชื่อและไม่มีความเชื่อประหลาดใจ  นี่เป็นการกระทำที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า  สิ่งที่เขาพูดไว้เป็นความจริงและเขาเป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นพระแมสสิยาห์
และนี่เป็นแก่นของความเชื่อคริสตชน
หนังสือชื่อ "Did Jesus Really Rise from the Dead?" เขียนขึ้นจากมุมมองที่แตกต่างกันหลายแง่มุม  ดังเช่น  จากประวัติศาสตร์  เทววิทยาและเรื่องฝ่ายจิต  หนังสือได้แสดงหลักฐานยืนยันความเป็นจริงของเหตุการณ์นี้
CARL E. OLSON ผู้เขียนหนังสือ
“ผมใช้เวลาเล็กน้อยในการอธิบายว่าเหตุใดการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าจึงมีความสำคัญมาก  มันมีความหมายสำหรับคริสตชน  ไม่ใช่เป็นแค่เพียงประโยคหนึ่งในบทสวดข้าพเจ้าเชื่อเท่านั้น   แต่มันเป็นหัวใจหลักทีเดียว  มันเชื่อมโยงกับความเชื่อของเราที่มีในพระเป็นเจ้า องค์พระตรีเอกภาพ  และความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเป็นเจ้าแท้และมนุษย์แท้ที่ได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
Carl Olson มีพื้นเพมาจากการเป็นโปรแตสแตนท์ , แอนตี้คาทอลิก, เป็นผู้ยึดมั่นในคำสอนของตนอย่างเหนียวแน่น  แต่หลังจากที่เขาได้ศึกษาประวัติศาสตร์พระศาสนจักรแล้ว  เขาก็ได้เข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิกอย่างเต็มตัว
หนังสือได้พูดถึงการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าและพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร  โดยตัดประเด็นเรื่องของอัศจรรย์ หรือการมีใจอคติต่อศาสนายิว  ต่อธรรมเนียมและพิธีกรรมของชาวยิวซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อเรื่องการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า  แต่นี่เป็นแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าจากผู้เขียนที่เป็นชาวเยอรมันโปรแตสแตนท์ในศตวรรษที่ 18-19
CARL E. OLSON ผู้เขียนหนังสือ
“คริสต์ศาสนาเป็นประวัติศาสตร์แห่งความเชื่อ  ซึ่งฝังรากลึกในยุคสมัยและสถานที่  ดังนั้นผมต้องการให้ประชาชนเชื่อมโยงเรื่องราวตั้งแต่คริสตศาสนายุคต้นกับพระคัมภีร์เพื่อทำให้ความเข้าใจของเรามีมากขึ้นและบังเกิดความรักในสิ่งเหล่านั้น”
อาจมีคนคิดว่า  การกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าอาจเป็นเพียงภาพมายา หรือเป็นตำนานลึกลับ หรือเป็นเพียงความฝันของบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าซึ่งเกิดจากความตายของพระองค์  อย่างไรก็ตาม  ความจริงในประวัติศาสตร์ได้ลบล้างความคิดเหล่านี้  ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพจากความตายอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์

ในฐานะคริสตชน  เราย่อมเชื่อว่ามีอัศจรรย์ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน  อย่างเช่นอัศจรรย์การรักษาโรคแก่ผู้ป่วยที่ไม่มีทางรักษา  ซึ่งเป็นอัศจรรย์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาการสถาปนาเป็นนักบุญ  แต่ก็ยังมีอัศจรรย์ใหญ่กว่าที่เกิดกับผู้คนจำนวนมาก  >>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นักบุญคัทรินแห่งเซียนนา7

สาส์นของพระบิดา

น.คัทรินได้รับพระพรพิเศษในการฟังและบันทึกสาส์นจากพระบิดานิรันดร  ในหนังสือของเธอชื่อ “The Dialogue” บรรยายถึงการเปิดเผยของพระบิดาที่ให้ความมั่นใจและท้าทายแก่พวกเรา  พระบิดาทรงเป็นผู้ปกครองและอาจารย์สวรรค์ของพวกเรา  พระองค์ทรงสอนดังนี้
เกี่ยวกับโลหิตของพระคริสต์ (On The Blood of Christ)
·       ด้วยการถวายพระโลหิตแห่งชีวิตขององค์พระบุตรสุดที่รักหนึ่งเดียวของเรา  ได้ขับไล่ความตายและความมืดออกไป  กำจัดความหลงผิดและนำพระพรแห่งแสงสว่างและความจริงกลับคืนมา
·       สำหรับผู้ที่รับพระโลหิตที่หลั่งลงมานี้  พวกเขาจะได้บรรลุถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อการได้รับความรอดและความดีเพียบพร้อม  แต่เนื่องจากพระโลหิตนี้เป็นพระพรแห่งชีวิต  และพระหรรษทานย่อมเป็นสัดส่วนกับความปรารถนาและการตระเดรียมวิญญาณให้ดีด้วย  เหมือนที่ความตายย่อมมาจากความชั่วร้าย
·       เราสร้างมนุษยชาติขึ้นมาใหม่ในพระโลหิตขององค์พระบุตรสุดที่รักหนึ่งเดียวของเรา  และประทานพระหรรษทานแก่พวกเขา  แต่พวกเขาได้ดูหมิ่นพระหรรษทานที่เราประทานแก่พวกเขาและยังคงประทานให้นี้มากเหลือเกิน

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทำไมเรียกศีลมหาสนิทว่าhost

“นี่คือกายของเรา....นี่คือโลหิตของเราที่หลั่งลงมาเพื่อท่านทั้งหลาย”>>>อ่านต่อ

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทภาวนาของนักบุญออกุสตินเพื่อการกลับใจ

นักบุญออกัสตินหลังจากกลับใจแล้ว  ท่านได้เขียนหนังสือคำสอนมากมายรวมทั้งบทภาวนาบทนี้>>>อ่านต่อ