ในปี
1200 นักบุญลุทการ์ดได้เห็นนิมิตพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาเธอ และในเวลานั้น
พระคริสต์ทรงสัญญาว่าจะให้ทุกสิ่งที่เธอวอนขอ
น.ลุทการ์ดได้ขอพรธรรมดาอย่างหนึ่งคือ
ขอให้เธอเข้าใจภาษาลาตินได้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้เพื่อที่เธอจะได้สามารถนมัสการพระเยซูเจ้าได้อย่างถูกต้องดีพร้อม และเธอก็ได้รับพระพรแห่งความรู้นี้ แต่ น.ลุทการ์ดได้วอนของพรอีกอย่างหนึ่งแทนที่พรที่เธอได้รับไปแล้ว พระเยซูเจ้าถามเธอว่า เธอจะวอนขอพรอะไรแทนที่พรนั้น น.ลุทการ์ดทูลขอดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และพระเยซูเจ้าได้เข้าไปใกล้ น.ลุทการ์ด ทรงนำเอาหัวใจของเธอออกมาจากทรวงอกของเธอ และนำดวงพระทัยของพระองค์ใส่เข้าไปแทนที่
Pages
พระเมตตาของพระเยซูเจ้า
จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2024 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสัปดาห์ที่ 4
  หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
(ลูกา 1:39-45)
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2024 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสัปดาห์ที่ 4
  หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
(ลูกา 1:39-45)
วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เด็กที่ฝากผลงานไว้ให้โลก1
Anne Frank
กับไดอารี่ทีทำให้ทั้งโลกต้องหลั่งน้ำตา
แอนน์
แฟรงค์ เด็กสาวชาวยิว
อายุ 13 ปี ผู้ได้รับสมุดไดอารี่เป็นของขวัญวันเกิดในปี ค.ศ. 1942 ท่ามกลางไฟสงคราม ซึ่งในขณะนั้น อดอฟ ฮิตเลอร์ ผู้ปกครองเยอรมันนี
ได้ออกนโยบายกำจัดชาวยิว
จนกระทั่งครอบครัวแฟรงก์ซึ่งเป็นยิวกลัวภัยอันตรายจึงต้องหลบหนี
และได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวหนึ่งให้ซ่อนอยู่ในห้องใต้หลังคานั้น
กับไดอารี่ทีทำให้ทั้งโลกต้องหลั่งน้ำตา
แอนน์
ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งความหวาดกลัว ชีวิตความเป็นอยู่ การหลบซ่อน
หรือกิจกรรมฆ่าเวลาเพื่อให้ผ่านไปแต่ละวัน
โดยที่เธอไม่มีวันรู้เลยว่าบันทึกชีวิตประจำวันของเธอเล่มนั้น วันหนึ่งจะกลายเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก
วันหนึ่ง
ทหารนาซีสืบค้นจนพบครอบครัวรวมทั้งตัวเธอ
ทุกคนถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ของนาซี ใช้ชีวิตราวนรกบนดิน ครอบครัวถูกแยกออกจากกัน
เด็กและคนแก่ต้องโดนรวมแก๊ซพิษจนตาย
แอนน์รอดมาได้เพราะอายุเกินเกณฑ์มาอย่างหวุดหวิด แต่ท้ายที่สุด แม่ พี่สาว และแอนน์
แฟรงค์ก็เสียชีวิตในที่สุด
ก่อนทหารอังกฤษจะเข้ามาปลดปล่อยนักโทษได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
พ่อของเธอเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เขาได้กลับมายังบ้านกระทั่งพบไดอารี่ของเธอและทำการตีพิมพ์หนังสือ ไดอารี่ของแอนน์ แฟรงก์ หลายปีต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมทั่วโลก
ในฐานะของหลักฐานที่เล่าถึงเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่โด่งดังที่สุดและเป็นวรรณกรรมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกชิ้นหนึ่ง
นิตยสารไทมส์
ยกให้แอนน์ แฟรงก์ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559
การกลับฟื้นคืนชีพของพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนชีพจากความตายจริงหรือ?
หลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อของคริสตชน
มากกว่า 2000
ปี ที่ชายผู้หนึ่งที่มาจากกาลิลีถูกประหารชีวิต
อย่างไรก็ตาม สามวันหลังจากนั้น เขาก็กลับฟื้นคืนชีพจากความตาย
ทำให้บรรดาผู้มีความเชื่อและไม่มีความเชื่อประหลาดใจ นี่เป็นการกระทำที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า
สิ่งที่เขาพูดไว้เป็นความจริงและเขาเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระแมสสิยาห์
และนี่เป็นแก่นของความเชื่อคริสตชน
หนังสือชื่อ "Did Jesus Really Rise from the
Dead?" เขียนขึ้นจากมุมมองที่แตกต่างกันหลายแง่มุม ดังเช่น
จากประวัติศาสตร์
เทววิทยาและเรื่องฝ่ายจิต
หนังสือได้แสดงหลักฐานยืนยันความเป็นจริงของเหตุการณ์นี้
CARL E. OLSON ผู้เขียนหนังสือ
“ผมใช้เวลาเล็กน้อยในการอธิบายว่าเหตุใดการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าจึงมีความสำคัญมาก มันมีความหมายสำหรับคริสตชน ไม่ใช่เป็นแค่เพียงประโยคหนึ่งในบทสวดข้าพเจ้าเชื่อเท่านั้น แต่มันเป็นหัวใจหลักทีเดียว มันเชื่อมโยงกับความเชื่อของเราที่มีในพระเป็นเจ้า
องค์พระตรีเอกภาพ และความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเป็นเจ้าแท้และมนุษย์แท้ที่ได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
Carl Olson มีพื้นเพมาจากการเป็นโปรแตสแตนท์
, แอนตี้คาทอลิก, เป็นผู้ยึดมั่นในคำสอนของตนอย่างเหนียวแน่น แต่หลังจากที่เขาได้ศึกษาประวัติศาสตร์พระศาสนจักรแล้ว เขาก็ได้เข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิกอย่างเต็มตัว
หนังสือได้พูดถึงการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าและพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร โดยตัดประเด็นเรื่องของอัศจรรย์ หรือการมีใจอคติต่อศาสนายิว ต่อธรรมเนียมและพิธีกรรมของชาวยิวซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อเรื่องการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า
แต่นี่เป็นแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าจากผู้เขียนที่เป็นชาวเยอรมันโปรแตสแตนท์ในศตวรรษที่
18-19
CARL E. OLSON ผู้เขียนหนังสือ
“คริสต์ศาสนาเป็นประวัติศาสตร์แห่งความเชื่อ ซึ่งฝังรากลึกในยุคสมัยและสถานที่
ดังนั้นผมต้องการให้ประชาชนเชื่อมโยงเรื่องราวตั้งแต่คริสตศาสนายุคต้นกับพระคัมภีร์เพื่อทำให้ความเข้าใจของเรามีมากขึ้นและบังเกิดความรักในสิ่งเหล่านั้น”
อาจมีคนคิดว่า การกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าอาจเป็นเพียงภาพมายา
หรือเป็นตำนานลึกลับ หรือเป็นเพียงความฝันของบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าซึ่งเกิดจากความตายของพระองค์ อย่างไรก็ตาม
ความจริงในประวัติศาสตร์ได้ลบล้างความคิดเหล่านี้
ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพจากความตายอย่างแท้จริง
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559
อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ในฐานะคริสตชน เราย่อมเชื่อว่ามีอัศจรรย์ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน อย่างเช่นอัศจรรย์การรักษาโรคแก่ผู้ป่วยที่ไม่มีทางรักษา ซึ่งเป็นอัศจรรย์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาการสถาปนาเป็นนักบุญ แต่ก็ยังมีอัศจรรย์ใหญ่กว่าที่เกิดกับผู้คนจำนวนมาก >>>อ่านต่อ
วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559
นักบุญคัทรินแห่งเซียนนา7
สาส์นของพระบิดา
น.คัทรินได้รับพระพรพิเศษในการฟังและบันทึกสาส์นจากพระบิดานิรันดร ในหนังสือของเธอชื่อ “The Dialogue” บรรยายถึงการเปิดเผยของพระบิดาที่ให้ความมั่นใจและท้าทายแก่พวกเรา
พระบิดาทรงเป็นผู้ปกครองและอาจารย์สวรรค์ของพวกเรา พระองค์ทรงสอนดังนี้
เกี่ยวกับโลหิตของพระคริสต์ (On The Blood of Christ)
·
ด้วยการถวายพระโลหิตแห่งชีวิตขององค์พระบุตรสุดที่รักหนึ่งเดียวของเรา ได้ขับไล่ความตายและความมืดออกไป กำจัดความหลงผิดและนำพระพรแห่งแสงสว่างและความจริงกลับคืนมา
·
สำหรับผู้ที่รับพระโลหิตที่หลั่งลงมานี้ พวกเขาจะได้อบรรลุถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อการได้รับความรอดและความดีเพียบพร้อม
แต่เนื่องจากพระโลหิตนี้เป็นพระพรแห่งชีวิต
และพระหรรษทานย่อมเป็นสัดส่วนกับความปรารถนาและการตระเดรียมวิญญาณให้ดีด้วย เหมือนที่ความตายย่อมมาจากความชั่วร้าย
·
เราสร้างมนุษยชาติขึ้นมาใหม่ในพระโลหิตขององค์พระบุตรสุดที่รักหนึ่งเดียวของเรา และประทานพระหรรษทานแก่พวกเขา
แต่พวกเขาได้ดูหมิ่นพระหรรษทานที่เราประทานแก่พวกเขาและยังคงประทานให้นี้มากเหลือเกิน
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ทำไมเรียกศีลมหาสนิทว่าhost
“นี่คือกายของเรา....นี่คือโลหิตของเราที่หลั่งลงมาเพื่อท่านทั้งหลาย”>>>อ่านต่อ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)