พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2024 พระเยซูทรงรักษาคนตาบอด

           พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองเยรีโคพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะที่พระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคพร้อมกับบรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมาก บารทิเมอัสบุตรของทิเมอัส คนขอทานตาบอดนั่งอยู่ริมทาง เมื่อได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา เขาเริ่มส่งเสียงร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิด เจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” หลายคนดุเขาให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสว่า “ไปเรียกเขามาซิ” เขาก็เรียกคนตาบอดพลางกล่าวว่า “ทำใจดี ๆ ไว้ ลุกขึ้น พระองค์กำลังเรียกเจ้าแล้ว” คนตาบอดสลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดเข้าไปเฝ้าพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” คนตาบอดทูลว่า “รับโบนีให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด ความเชื่อของท่านได้ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” ทันใดนั้น เขากลับแลเห็นและเดินทางติดตามพระองค์ไป
(มาระโก 10:46-52)








วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2566

เชื่อมต่อขาที่ขาด


นักบุญแอนโทนี,ระหว่างเดินทางไปอิตาลีโดยผ่านสเปนเพื่อไปเทศน์ที่เมืองเลริดา(Lerida) เมืองนี้อยู่บริเวณชายแดนสเปนและอิตาลี 
มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเลโอนาร์โดอาศัยอยู่ในเมืองนี้ และเขาใช้ชีวิตในบาป วันหนึ่งแม่ของเขาพยายามแนะนำเขาให้ดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น และเมื่อเธอพูดกับเขาเช่นนั้น เขาก็โกรธ เขาผลักเธอล้มลงอย่างรุนแรงด้วยความโกรธและเตะเธอด้วย แม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่เขาก็ยังนึกถึงโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆ และไปที่นั้น แอนโทนี่กำลังเทศน์สอนผู้คนอยู่ คำเทศนามีผลทำให้ชายหนุ่มผ่อนคลายและคิดถึงชีวิตของเขาด้วย เขาตระหนักว่าเขาใช้ชีวิตแบบคนชั่วและตัดสินใจสารภาพบาปกับแอนโทนีและขออภัยบาป 
เมื่อเขาสารภาพบาปกับแอนโทนี เขาเล่าสิ่งที่เขาทำกับแม่ของเขา แอนโทนีบอกเขาว่าการชดเชยใช้โทษบาปของเขาก็คือให้ตัดสิ่งที่เขากระทำต่อแม่ของเขา ชายหนุ่มผู้กลับใจยอมรับคำพูดของแอนโทนีอย่างจริงจัง เมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาก็ใช้ดาบตัดขาของเขาออก 
แม่ของเขาเห็นการกระทำอันน่าสยดสยองของลูกชายก็ตกใจและโศกเศร้า เธอถามลูกชายของเธอว่าทำไมเขาถึงทำร้ายตัวเองขนาดนี้ และเขาบอกเธอว่าเขาทำตามคำแนะนำของแอนโทนี หลังจากทราบข่าวจากลูกชายว่าแอนโทนีอยู่ที่ไหน เธอจึงรีบไปโบสถ์และร้องไห้ไปตลอดทาง เมื่อไปถึงโบสถ์เธอบอกแอนโทนีถึงสิ่งที่ลูกชายของเธอทำ แอนโทนีรู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่น่าเศร้าของเธอ เขาอธิบายให้เธอฟังอย่างอดทนว่าท่านขอให้เขาตัดชีวิตที่บาปของเขา ไม่ใช่ตัดขาของเขา เขาปลอบเธอโดยบอกเธอว่าลูกชายของเธอจะได้รับของขวัญชิ้นใหญ่อย่างแน่นอนสำหรับการกลับใจ และบอกว่าจะไปที่บ้านเธอพร้อมกับเธอ 
เมื่อแอนโทนีมาถึงบ้านของหญิงผู้นั้น,เขาก็เห็นลูกชายนอนอยู่บนกองเลือด,บิดตัวด้วยความเจ็บปวด, มือข้างหนึ่งมีขาขาดและมีดาบอยู่อีกข้างหนึ่ง แอนโทนีหยิบขาที่ถูกตัดแล้ววางไว้ตรงจุดที่ถูกตัดแล้วทำเครื่องหมายไม้กางเขนไว้บนนั้น กระดูกที่หักกลับมารวมกันอีกครั้ง และเนื้อที่ถูกตัดออกก็กลับมารวมกันอีกกลายเป็นขาทั้งหมด การไหลเวียนโลหิต ณ จุดนั้นก็กลายเป็นปกติเช่นกัน ชายหนุ่มที่กลับใจลุกขึ้นยืนทันทีและเดินเหมือนคนปกติ เขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าและแอนโทนี่อย่างมาก

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566

บันไดสวรรค์


ในชีวประวัติของนักบุญโดมินิก (1170-1221) ยังมีการกล่าวถึงบันไดสวรรค์ด้วย เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่คุณพ่อกัวโล โรมาโนนิ(Guallo Romanoni) อธิการของอาราม Friars Preachers ในเมืองเบรสเชีย(Brescia) ได้เผลอหลับไปโดยพิงอยู่ที่หอระฆังในโบสถ์ของท่าน และท่านก็ฝันไป,ในความฝันท่านเห็นบันไดสองอันพาดลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน ที่ด้านบนสุดของบันไดอันหนึ่งคือพระเยซูเจ้า และที่ด้านบนสุดของบันไดอีกอันหนึ่งคือพระมารดาของพระองค์ เหล่าทูตสวรรค์เดินขึ้นๆลงๆบนบันไดทั้งสอง และที่ปลายด้านล่างของบันไดมีผู้หนึ่งที่แต่งกายนักบวชยืนอยู่ แต่ใบหน้าของเขาถูกคลุมด้วยหมวกของเสื้อคลุม ตามแบบที่นักบวชทั้งหลายทำในการคลุมหน้าของผู้ตายเวลาที่พวกเขาจะนำผู้ตายไปฝังศพ แล้วบันไดก็ถูกลากขึ้นสู่สวรรค์ และคุณพ่อโรมาโนนีเห็นนักบวชที่ไม่รู้จักคนนั้นถูกรับขึ้นไปเข้าร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์,รายล้อมไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์อันเจิดจ้า และอยู่แทบพระบาทของพระเยซู เมื่อคุณพ่อโรมาโนนีตื่นขึ้นมาก็รู้สึกงุนงงกับความหมายของนิมิตความฝันนี้ แต่ในไม่ช้าท่านก็รู้ว่าในเวลาเดียวกันกับที่ท่านฝัน,นักบุญดอมินิกได้สิ้นชีวิตในเมืองโบโลญญา 
ที่มา: Angels and Devils

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2566

เป็นนักบุญทั้งครอบครัว


นี่คือภาพเหมือนอย่างเป็นทางการของครอบครัวอุลมา(Ulma family)ที่ได้รับการเปิดเผยระหว่างพิธีมิสซาสถาปนาพวกเขาเป็นบุญราศีมรณสักขี โดยเป็นภาพของ Józef และ Wiktoria กับลูกๆท่ามกลางทิวทัศน์ในช่วงฤดูร้อน ภาพวาดนี้วาดขึ้นโดยศิลปิน Oleg Chizhovsky ในภาพจะเห็นบ้านของครอบครัว Ulmas, ทางด้านซ้ายมือเป็นรังผึ้ง, และสวนผลไม้อยู่ทางด้านขวา โดยอ้างอิงจากความสนใจในการทำสวนของพวกเขา 
Blessed Wiktoria Ulma กำลังตั้งครรภ์และอุ้มลูกสาวคนเล็กชื่อ Marysia โจเซฟยืนอยู่ทางด้านขวาของภาพและมีกิ่งปาล์มอยู่ในมือ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการรับความทรมานของพวกเขา 
สตาเซีย(Stasia)กำลังถือดอกลิลลี่สีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความไร้เดียงสา Antoš โชว์ไม้กางเขนที่ทำจากไม้ให้ Basia น้องสาวของเขาดู ลูกชายคนโตสองคน Wladzio และ Frania อยู่ระหว่างพ่อแม่ของพวกเขา 
พระคาร์ดินัลผู้แทนพระสันตปาปาได้ประกอบพิธีมิสซาสถาปนาบุคคลในครอบครัวนี้ทุกคน(รวมทั้งทารกในครรภ์ด้วย)เป็นมรณสักขีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ก.ย. 2023 ที่หมู่บ้านMarkowa,ทางตอนใต้ของโปแลนด์ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการสถาปนาครอบครัวเป็นบุญราศี ครอบครัวอุลมาทุกคนได้ให้ความช่วยเหลือชาวยิว 8 คนให้พ้นจากเงื้อมมือของทหารนาซี ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยซ่อนพวกเขาไว้ แต่ทหารนาซีก็ค้นหาจนพบ ทหารจึงฆ่าคนในครอบครัวอุลมาทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2566

สายประคำไม่พันกัน


ปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งในการประจักษ์ที่การาบังดัลคือการที่สายประคำคืนสู่เจ้าของ เวลานั้นผู้คนเริ่มเชื่อว่าพระแม่มารีย์ทรงประจักษ์ที่การาบันดัลจริงๆ คนนับร้อยนับพันคนจึงนำสายประคำและเหรียญพระรูปมาให้แม่พระทรงจุมพิต ศาสนภัณฑ์ทั้งหมดถูกวางกองไว้บนโต๊ะเพื่อให้เด็กหญิงถวายแด่แม่พระ สายประคำทั้งหมดที่ผู้คนนำมานั้นพันกันจนแยกไม่ออก เมื่อเด็กหญิงถวายสายประคำเหล่านั้นให้แม่พระและส่งคืนให้เจ้าของ,สายประคำกลับแยกจากกันเอง,ไม่พันกันเหมือนในตอนแรก เด็กหญิงผู้เห็นแม่พระส่งคืนสายประคำให้แก่เจ้าของได้อย่างถูกต้องไม่เคยผิดพลาด และไม่ต้องมองหาเจ้าของเลย แม่พระทรงพาพวกเขาไปหาเจ้าของสายประคำแต่ละเส้นทั้งๆที่เด็กหญิงจ้องมองขึ้นไปที่แม่พระตลอดเวลา 
เรื่องราวนี้ถูกกล่าวถึงในหนังสือ “Garabandal” โดย J. Serre หน้า 50-54 
“She went in haste to the Mountain” เล่ม 1 หน้า 76-80

วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2566

คำตอบของซาตาน


เธอถูกครอบงำโดยปีศาจมากถึง 10 ตัว ซึ่งบางตัวก็เผยตัวออกมา อาทิเช่น - ลูซิเฟอร์
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2566

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2566

เจ้าสาวของพระจิตเจ้า

ในหลายตอนของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระจิตเจ้าทรงเรียกพระนางมารีย์ว่าทรงเป็นเจ้าสาวของพระองค์ แม้แต่ในชั่วเวลาแรกที่พระนางทรงปฏิสนธิ พระองค์ทรงประทานพระหรรษทานอันไพบูลย์แก่พระนางเป็นอันมากจนบรรดาทูตสวรรค์และนักบุญทั้งหมดรวมกันยังไม่ได้รับความสมบูรณ์ถึงระดับนั้น 
พระจิตเจ้าทรงปีติยินดีในความงามของพระนางมารีย์และทรงอุทานด้วยความชื่นชมว่า "เธอช่างงดงามยิ่งนัก,สุดที่รักของเรา” (บทเพลง. 4:1). แต่เหนือสิ่งอื่นใดในการมาบังเกิดขององค์พระบุตรของพระเจ้าทำให้พระนางมารีย์กลายเป็นเจ้าสาวที่แท้จริงของพระจิตเจ้า เพราะพระนางทรงครรภ์พระวจนาตถ์นิรันดรด้วยพระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า 
 โดยผ่านทางพระนางมารีย์ และพร้อมกับพระนางมารีย์ และในพระนางมารีย์, พระจิตเจ้าทรงนำมนุษย์-พระเจ้าบังเกิดมาในโลก และในทำนองเดียวกัน,ในทุกวันจนถึงวันสิ้นพิภพ,พระองค์จะทรงนำบรรดาบุตรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ออกมาเช่นกัน นักบุญหลุยส์ มารีกรีญอง เดอ มงฟอร์ต กล่าวว่า "พระจิตเจ้าทรงประทานพระพรอันทรงคุณค่าจนมิอาจประเมินได้ของพระองค์แก่พระนางมารีย์ และทรงแต่งตั้งพระนางให้เป็นผู้แจกจ่ายพระหรรษทานทั้งหมดของพระองค์ เพื่อที่พระนางจะทรงแจกจ่ายพระพรและพระหรรษทานของพระองค์แก่ผู้ที่พระนางทรงประสงค์, มากเท่าที่พระนางทรงประสงค์ และด้วยวิธีและสถานที่ที่พระนางทรงประสงค์ สวรรค์จะไม่ประทานพระหรรษทานใดๆแก่มนุษย์เว้นแต่โดยผ่านทางมือของพระนางพรหมจารีย์” นักบุญเบอร์นาร์ดและนักบุญอัลฟอนโซและนักเทวศาสตร์อีกหลายคนมีความเห็นเช่นเดียวกัน 
เพื่อทำให้พระนางมารีย์ได้รับตำแหน่งใหม่อันสูงส่งในฐานะมารดาแห่งบุตรธิดาทุกคนของพระเจ้า พระนางต้องการพระหรรษทานครบบริบูรณ์ และสิ่งนี้พระนางทรงได้รับจากพระจิตเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมาในวันเพ็นเทคอสต์ พระนางมารีย์ทรงอยู่ร่วมกับอัครสาวกในห้องชั้นบน(Cenacle) และสวดภาวนาร่วมกับพวกเขาเป็นเวลาเก้าวันและพระนางทรงถอนหายใจสำหรับการเสด็จมาของพระผู้บรรเทาจากสวรรค์ ด้วยคำสวดภาวนาและความปรารถนาอันแรงกล้าของพระนางที่ทำให้พระจิตเจ้าเสด็จลงมาพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติแห่งพระหรรษทานทั้งหลาย 
เราต้องแสวงหาพระหรรษทานโดยทางพระนางมารีย์ เพราะพระนางคือเจ้าสาวของพระจิตเจ้า และพระหรรษทานทั้งหมดถูกแจกจ่ายผ่านทางมือของพระนางเท่านั้น 
 ที่มา: Devotion to the Holy Ghost