Pages
พระเมตตาของพระเยซูเจ้า
จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2025 ภารกิจของพระเยซูเจ้า
  ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว ข้าพเจ้าจึงตกลงใจค้นคว้าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามลำดับเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านด้วย ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าคำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง
  พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้น พระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรมของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลง สายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
(ลูกา 1:1-4; 4:14-21)
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2025 ภารกิจของพระเยซูเจ้า
  ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว ข้าพเจ้าจึงตกลงใจค้นคว้าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามลำดับเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านด้วย ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าคำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง
  พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้น พระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรมของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลง สายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
(ลูกา 1:1-4; 4:14-21)
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2567
วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ชีวิตของคุณพ่อปีโอ
คุณพ่อปีโอ เคยพูดว่า “พ่อขอบอกกับคุณบ้าง คุณมาในโลกนี้เหมือนกับที่พ่อมา, พ่อมาพร้อมกับภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ… พ่อเองในฐานะพระสงฆ์นักบวช มีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ ในฐานะนักบวชกาปูชิน พ่อมีภารกิจในการรับใช้พระเจ้าด้วยความรักอย่างสมบูรณ์และเปี่ยมด้วยความรักต่อกฎเกณฑ์ของคณะและคำปฏิญาณของพ่อ ในฐานะพระสงฆ์,ภารกิจของพ่อคือการรับใช้พระเจ้าผ่านทางครอบครัวมนุษย์”
ความรักของพระคริสต์ผลักดันให้คุณพ่อปีโออุทิศตนอย่างเต็มที่ทุกวันเพื่อวิญญาณที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอบพระองค์เองเพื่อเขา
คุณพ่อปีโอพูดกับบางคนว่า “พ่อเติมแต่งชีวิตลูกด้วยความเจ็บปวดในความรัก” คุณพ่อปีโอเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตา: ความเจ็บปวดและความรักดำเนินไปในแสงสว่างของไม้กางเขนของพระคริสต์ พระเยซูทรงแสดงความรักของพระองค์ ไม่เพียงแต่สำหรับคนบาปและผู้ที่อยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนยากจน คนป่วย คนที่ถูกกีดกันในสังคม ซึ่งทำให้ชาวยิวที่ติดตามพระองค์พูดว่า “คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยินและคนใบ้กลับพูดได้” (มก. 7:37)
วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ข้อคิดฝ่ายจิตจากคุณพ่อปีโอ
ชีวิตของคริสตชนเป็นเพียงการต่อสู้กับตนเองอย่างไม่หยุดพัก จิตวิญญาณจะไม่เบ่งบานเพื่อไปสู่ความสมบูรณ์ครบครัน เว้นแต่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อพูดถึงการประจญล่อลวง คุณพ่อปีโอกล่าวว่า “หากคุณเอาชนะการประจญล่อลวงได้สำเร็จ นั่นจะมีผลเหมือนกับการซักเสื้อผ้าที่สกปรก”
ครั้งหนึ่งคุณพ่อปีโอพูดว่า “ผู้ใดที่ไม่ทำการพิจารณาไตร่ตรองชีวิต(meditate) เขาก็เหมือนกับคนที่ไม่เคยส่องหน้าในกระจกเงาก่อนออกไปข้างนอก โดยไม่สนใจที่จะดูว่าตัวเองสะอาดหรือไม่ และเขาอาจออกไปข้างนอกในสภาพสกปรกโดยไม่รู้ตัว”
“ผู้ที่ทำการพิจารณาไตร่ตรองชีวิตตนเองและหันจิตใจของเขาไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกระจกเงาของจิตวิญญาณของเขา เพื่อช่วยให้เขาแสวงหาที่จะรู้ข้อบกพร่องของตนเอง, พยายามแก้ไข, ระงับแรงกระตุ้นของตนเอง และจัดระเบียบจิตสำนึกของตนเอง”
วันหนึ่ง มีคนถามคุณพ่อปีโอว่า “เราจะแยกแยะระหว่างการประจญและบาปได้อย่างไร? และเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ตกอยู่ในบาป?” คุณพ่อปีโอยิ้มและตอบว่า “เราจะแยกแยะระหว่างลากับมนุษย์ที่รู้จักเหตุผลได้อย่างไร”
“ลาปล่อยให้ตัวมันเองถูกนำทางไป แต่มนุษย์ที่รู้จักเหตุผลเป็นผู้นำทาง”
“ถูกต้อง” คุณพ่อปีโอตอบ
“แต่ทำไมเมื่อการประจญผ่านไปแล้วจึงยังมีความรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ล่ะครับ?”
คุณพ่อปีโอตอบว่า “ฟังนะ พ่อจะขอยกตัวอย่างให้คุณฟัง คุณเคยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวหรือไม่ ขณะที่ทุกอย่างสั่นสะเทือน คุณก็สั่นไหวเช่นกัน แต่คุณไม่ได้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง”
ที่มา: Padre Pio The stigmatist
วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ทางที่จะไปสวรรค์มีเพียงทางเดียว
ทางที่จะไปสวรรค์ไม่ได้มีมากมายนัก มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้ นั่นคือผ่านทางความเชื่อในพระคริสต์และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ผมรู้ว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน หลายคนคิดว่ายังมีเส้นทางอื่นที่จะไปสวรรค์ได้ มหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์บริจาคทรัพย์สินสุทธิร้อยละ 85 ให้กับการกุศล โดยกล่าวว่า “มีมากกว่าหนึ่งวิธีที่จะไปสู่สวรรค์ได้ แต่สิ่งที่ผมทำนี้เป็นหนทางที่ดี” ผมขอชื่นชมบัฟเฟตต์สำหรับความเอื้อเฟื้อของเขา แต่เขาจะต้องประหลาดใจเมื่อเขาค้นพบว่าเขาไม่สามารถใช้การบริจาคเป็นหนทางไปสู่สวรรค์ได้ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสู่สวรรค์ได้ นั่นคือผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ภารกิจของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกในข้อ 336 สอนว่า “ตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งตาย ชีวิตของมนุษย์ถูกล้อมรอบด้วยการดูแลเอาใจใส่และการวิงวอนของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์”
เราได้รับการคุ้มครองและเฝ้าระวังจากทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ของเราแม้ในขณะที่เราเสียชีวิต ทูตสวรรค์เหล่านี้ไม่ได้อยู่กับเราเพียงในชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น แต่พวกเขายังดูแลเอาใจใส่เราถึงในชีวิตหน้าด้วย
เราต้องเข้าใจว่าทูตสวรรค์ “พระองค์ทรงส่งมารับใช้ผู้ที่จะต้องได้รับความรอดพ้น” (ฮีบรู 1:14) ในทำนองเดียวกัน นักบุญบาซิลสอนว่าไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “มีทูตสวรรค์คอยปกป้องและเลี้ยงดูผู้มีความเชื่อทุกคนเพื่อนำเขาไปสู่ชีวิต” (CCC 336)
ดังนั้นภารกิจหลักของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์คือการช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้น นั่นคือ นำเราทุกคนเข้าสู่ชีวิตแห่งการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ภารกิจนี้รวมถึงความช่วยเหลือขณะที่วิญญาณไปปรากฏตัวต่อหน้าพระเจ้าด้วย
บรรดาปิตาจารย์แห่งพระศาสนจักรพูดถึงภารกิจนี้ว่าทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์อยู่กับวิญญาณในช่วงเวลาแห่งความตาย และปกป้องวิญญาณจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของปีศาจ
นักบุญอาลอยซีอุส กอนซากา (1568–1591) กล่าวว่าในช่วงเวลาที่วิญญาณออกจากร่างกาย วิญญาณจะได้รับการติดตามและปลอบโยนจากทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์เพื่อให้วิญญาณสามารถปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้าได้อย่างมั่นใจ ตามคำกล่าวของนักบุญนี้ ทูตสวรรค์จะพูดถึงพระเมตตาของพระคริสต์เพื่อให้วิญญาณได้รับความบรรเทาในช่วงเวลาแห่งการพิพากษา, เมื่อผู้พิพากษาทรงตัดสินให้วิญญาณถูกส่งไปยังไฟชำระ
วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ปรีชาญาณจากนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา
“. . . มันจะเป็นการอวดดีและทะนงตนที่จะเลือกเส้นทางของตนเอง เพราะดิฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเส้นทางใดดีที่สุดสำหรับดิฉัน ดิฉันต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระเจ้าผู้ทรงรู้จักดิฉัน ทรงนำดิฉันไปในเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน เพื่อว่าในทุกสิ่ง, พระประสงค์ของพระองค์จะได้สำเร็จ”
“บ่อยครั้งที่ปีศาจจะทำให้เราคิดถึงเรื่องใหญ่ๆ เพื่อว่าแทนที่เราจะลงมือทำอะไรก็ตามที่สามารถทำได้เพื่อรับใช้พระเจ้า, เรากลับจะพอใจและปรารถนาที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ”
“ผู้เป็นที่รักของเราพระองค์นี้ทรงมีพระเมตตาและทรงความดี นอกจากนี้ พระองค์ยังปรารถนาความรักของเราอย่างที่สุดจนเรียกเราให้เข้ามาใกล้พระองค์ เสียงของพระองค์ช่างไพเราะจนวิญญาณที่น่าสงสารต้องแตกสลายเมื่อเผชิญกับความไม่สามารถของตนเองในการทำทุกอย่างที่พระองค์ขอให้เธอทำได้ทันที ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่าการได้ยินพระองค์เจ็บปวดมากกว่าการไม่ได้ยินพระองค์เสียอีก... ในตอนนี้ เสียงของพระองค์มาถึงเราผ่านถ้อยคำที่คนดีพูด ผ่านการฟังคำเทศน์สอนฝ่ายจิต และการอ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าทรงเรียกเราด้วยวิธีเล็กๆน้อยๆมากมายตลอดเวลา ผ่านความเจ็บป่วย ความทุกข์ และความเศร้าโศก พระองค์ทรงเรียกเราผ่านความจริงที่แวบเข้ามาในเวลาที่เราสวดภาวนา ไม่ว่าความเข้าใจดังกล่าวจะจริงใจเพียงใดก็ตาม พระเจ้าจะทรงชื่นชมยินดีทุกครั้งที่เราเรียนรู้สิ่งที่พระองค์พยายามสอนเรา”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)