พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2025 เทศกาลเตรียมรับเสด็จ

          “สมัยของโนอาห์เป็นเช่นไร เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้น ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ ไม่มีใครนึกระแวงว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนกระทั่งน้ำวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย เวลานั้น คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ “จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรู้ว่าขโมยจะมาในยามใด เขาคงจะตื่นเฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย
(มัทธิว.24:37-44)








วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ความเชื่อที่ไม่หวั่นไหว


พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ด้วยความถ่อมตน
>>>อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

นักบุญชาร์เบลกับนางโนฮัด เอลชามี


13 พ.ค. 2025 : วันนี้ ชาวเลบานอนโศกเศร้ากับการจากไปของนางโนฮัด เอลชามี (Nohad El Shami)หญิงผู้ต่ำต้อยซึ่งได้มีการพบปะอันพิเศษกับนักบุญชาร์เบล(St. Charbel นักบุญของเลบานอน)เธอได้กลายมาเป็นพยานถึงความเชื่อและการเยียวยารักษาจากท่านนักบุญ

ในปี 1993 หลังจากที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคหลอดเลือดสมองที่ทำให้เธอเป็นอัมพาต โนฮัดได้พบกับอัศจรรย์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกมากมาย ในคืนหนึ่ง เธอฝันเห็นพระสงฆ์มาโรไนต์สองท่าน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักบุญชาร์เบล กำลังทำการผ่าตัดที่คอของเธอ เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็หายเป็นปกติ มีแผลผ่าตัดสองแผลที่คอของเธอ และอาการอัมพาตก็หายไป เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้ความเชื่อของผู้คนนับพันกลับคืนมา และกลายเป็นแสงแห่งความหวังสำหรับผู้ที่แสวงหาพระหรรษทานของพระเจ้า

จากความฝันของเธอ, โนฮัดได้ไปเยี่ยมอารามของนักบุญชาร์เบลที่เมืองอันนายา(Annaya)อย่างซื่อสัตย์ทุกวันที่ 22 ของเดือน ตามคำสั่งของนักบุญชาร์เบล จนถึงทุกวันนี้ ผู้แสวงบุญยังคงรวมตัวกันทุกเดือนเพื่อสืบสานประเพณีการสวดภาวนาและความศรัทธานี้

ชีวิตที่เงียบสงบของโนฮัดกลายเป็นพยานถึงความเชื่อ, การยอมจำนน, และพลังแห่งการช่วยเหลือของท่านนักบุญ เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับทั้งผู้เชื่อและผู้ที่คลางแคลงสงสัย โดยแสดงให้เห็นว่าอัศจรรย์ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งการเยียวยารักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนใจถึงความรักและการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเราอีกด้วย

ขอให้เรามีความเชื่อลึกซึ้งยิ่งขึ้นและไว้วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า ขอให้วิญญาณของเธอไปสู่สุขคติชั่วนิรันดร์ และขอให้เรื่องราวของเธอยังคงส่องแสงต่อไปเป็นแสงสว่างสำหรับทุกคนที่ต้องการอัศจรรย์

🕊️ นักบุญชาร์เบล โปรดภาวนาเพื่อเราด้วยเทอญ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คุณพ่อดาเมียนกับศีลมหาสนิท


“ศีลมหาสนิทเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราทุกคนละทิ้งความทะเยอทะยานทางโลก สำหรับผมและสำหรับคุณ หากไม่มีพระอาจารย์แห่งสวรรค์ของเราประทับอยู่บนพระแท่นบูชาในโบสถ์น้อยของผมตลอดเวลาแล้ว ผมคงไม่สามารถอดทนที่จะอยู่กับผู้ป่วยโรคเรื้อนในโมโลไกได้ ซึ่งผลที่ตามมาก็เริ่มปรากฏบนผิวหนังของผมและรู้สึกได้ทั่วร่างกาย ศีลมหาสนิทเป็นอาหารประจำวันของพระสงฆ์ ผมรู้สึกมีความสุข มีความพอใจ และยอมรับในสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษนี้ ซึ่งพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าทรงพอพระทัยให้ผมต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”

นักบุญดาเมียนแห่งโมโลไก (1840-1889)

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กิจเมตตาฝ่ายกายทั้งเจ็ด


กิจเมตตาเหล่านี้เป็นแนวทางที่สมบูรณ์แบบในการเลียนแบบพระเยซู

คำสอนของพระศาสนจักรกล่าวไว้เสมอว่าทั้งความเชื่อและการกระทำมีความสำคัญในการดำเนินชีวิตของเรา โดยเลียนแบบกิจการของพระเยซูและคำสั่งของพระองค์ในการรับใช้ซึ่งกันและกัน

เมื่อพระองค์เล่าเรื่องการแยกแกะออกจากแพะในวันพิพากษา พระองค์ตรัสกับแกะว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มัทธิว 25:40)

พระศาสนจักรได้สรุปกิจเมตตาเพื่อช่วยให้เรารับใช้พี่น้องของพระคริสต์ที่ต่ำต้อยที่สุด (เรามีกิจเมตตาฝ่ายวิญญาณ และกิจเมตตาฝ่ายกาย)

กิจเมตตาฝ่ายกายทั้งเจ็ดประการ ได้แก่

ให้อาหารแก่คนหิวโหย 
ให้เครื่องดื่มแก่คนกระหายน้ำ 
ให้ที่พักพิงแก่คนไร้บ้าน 
เยี่ยมเยียนคนป่วย 
เยี่ยมเยียนนักโทษ 
ฝังศพคนไร้ญาติ 
ให้เสื้อผ้าแก่คนไม่มี

บางครั้งชีวิตประจำวันของเรายุ่งมากจนเราไม่สามารถใช้เวลาทั้งวันไปกับการเป็นอาสาสมัครที่สถานสงเคราะห์คนไร้บ้านได้ หรือเราไม่สามารถบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อบรรเทาทุกข์ผู้คนจำนวนมากที่ยากจนได้

แต่เราพบวิธีเล็กๆ น้อยๆ ในการจัดการกิจเมตตาฝ่ายกาย เราสามารถแวะไปที่โรงพยาบาลหรือบ้านพักคนชราเพื่อทักทายผู้ป่วยที่โดดเดี่ยวหรือซื้ออาหารให้คนไร้บ้านที่อยู่ตามท้องถนน การบริจาคเพียงห้าหรือสิบบาทให้กับองค์กรการกุศลในท้องถิ่นก็ถือเป็นการบริจาคเช่นกัน!

การกระทำง่ายๆ เหล่านี้สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ คำพูดที่มีชื่อเสียงของนักบุญคัทเธอรีนแห่งเซียนนาเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าพระเจ้าสามารถทำอะไรดีๆ ให้คุณได้บ้างผ่านตัวคุณ “จงเป็นคนที่พระเจ้าต้องการให้คุณเป็น แล้วคุณจะจุดไฟเผาโลก”

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

พระสันตปาปาเลโอที่ 14 กับชาวอัฟริกัน


สาสน์ของพระสันตปาปาสะท้อนอยู่ในใจของชาวอัฟริกันคาทอลิก! 🙏

พระสันตปาปาเลโอที่ 14 ขณะที่ดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัลโรเบิร์ต ฟรานซิส พรีโวสต์ ได้ไปเยือนเคนยาในเดือนธันวาคม 2024 ท่านไตร่ตรองถึงความจำเป็นในการเอาใจใส่พระวาจาของพระเจ้าในฐานะ “จิตวิญญาณและชีวิต” และพระบุคคลของพระเยซูคริสต์ทรงเป็นแหล่งที่มาของ “ชีวิตที่แท้จริง” และทรงเป็นรากฐานของพระศาสนจักร

“เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระศาสนจักรเท่านั้น, พระศาสนจักรของเราที่ถูกสร้างขึ้นบนศิลาที่พระเยซูทรงประทานให้เราทุกคน,พระศาสนจักรที่มองเห็นได้, เมื่อนั้นความเชื่อในพระวรสาร, ความเชื่อในพระเจ้าของเรา,พระเยซูคริสต์ จึงจะคงอยู่ชั่วกาลนาน” พระองค์ตรัสในระหว่างการเสกโบสถ์น้อยแห่งใหม่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2024

พระองค์เน้นย้ำว่า “เมื่อเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น,เราจึงจะซื่อสัตย์อย่างแท้จริงต่อสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงขอจากเรา”

ให้เราสวดภาวนาเพื่อพระสันตปาปาเลโอที่ 14 🙏

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

พระสันตปาปาเลโอที่ 14 กับลูเทอร์


พระสันตปาปาลีโอที่ 14 เป็นบุคคลที่มีความเป็นคนแรกในหลายๆ ด้าน ไม่เพียงแค่เป็นพระสันตปาปาที่เกิดในอเมริกาพระองค์แรกเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระสันตปาปาพระองค์แรกจากคณะนักบุญออกัสติน (OSA) อีกด้วย ความเชื่อมโยงกับคณะนักบุญออกัสตินนี้มีความหมายทางประวัติศาสตร์อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าพระสันตปาปาเลโอที่ 10 ซึ่งพระองค์ถือเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์พระศาสนจักร ทรงเป็นผู้ขับไล่(บัพชะนียกรรม)มาร์ติน ลูเทอร์ พระสงฆ์จากคณะนักบุญออกัสติน ออกจากพระศาสนจักร การกระทำของลูเทอร์ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ ในอีกแง่หนึ่ง,พระสันตปาปาเลโอที่ 14 ทำให้วงจรกลับมาบรรจบอีกครั้งจากสมัยของพระสันตปาปาเลโอที่ 10 ทรงเป็นตัวแทนของความต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งภายในพระศาสนจักร

พระสันตปาปาเลโอที่ 10 ทรงบัพขนียกรรมมาร์ติน ลูเทอร์ ผู้ซึ่งอยู่ในคณะออกัสติน และอีก 504 ปีต่อมา พระสันตปาปาเลโอที่ 14 ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะออกัสตินเช่นกัน ทรงพยายามเยียวยาความขัดแย้งและแก้ไขผลกระทบระยะยาวจากการกระทำของลูเทอร์