พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2025 จงเข้าทางประตูที่แคบ

          พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและทรงเดินทางมุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม คนคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า มีคนน้อยคนใช่ไหมที่รอดพ้นได้’ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า ‘จงพยายามเข้าทางประตูแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้ ‘เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นเพื่อปิดประตู ท่านจะยืนอยู่ข้างนอก เคาะประตูพูดว่า “พระเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย” แต่เขาจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด” แล้วท่านก็จะพูดว่า “พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา” แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดไปให้พ้นจากเราเถิด เจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า”
(ลูกา 13:22-30)








วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ความเชื่อที่ไม่หวั่นไหว


พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ด้วยความถ่อมตน
>>>อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

นักบุญชาร์เบลกับนางโนฮัด เอลชามี


13 พ.ค. 2025 : วันนี้ ชาวเลบานอนโศกเศร้ากับการจากไปของนางโนฮัด เอลชามี (Nohad El Shami)หญิงผู้ต่ำต้อยซึ่งได้มีการพบปะอันพิเศษกับนักบุญชาร์เบล(St. Charbel นักบุญของเลบานอน)เธอได้กลายมาเป็นพยานถึงความเชื่อและการเยียวยารักษาจากท่านนักบุญ

ในปี 1993 หลังจากที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคหลอดเลือดสมองที่ทำให้เธอเป็นอัมพาต โนฮัดได้พบกับอัศจรรย์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกมากมาย ในคืนหนึ่ง เธอฝันเห็นพระสงฆ์มาโรไนต์สองท่าน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักบุญชาร์เบล กำลังทำการผ่าตัดที่คอของเธอ เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็หายเป็นปกติ มีแผลผ่าตัดสองแผลที่คอของเธอ และอาการอัมพาตก็หายไป เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้ความเชื่อของผู้คนนับพันกลับคืนมา และกลายเป็นแสงแห่งความหวังสำหรับผู้ที่แสวงหาพระหรรษทานของพระเจ้า

จากความฝันของเธอ, โนฮัดได้ไปเยี่ยมอารามของนักบุญชาร์เบลที่เมืองอันนายา(Annaya)อย่างซื่อสัตย์ทุกวันที่ 22 ของเดือน ตามคำสั่งของนักบุญชาร์เบล จนถึงทุกวันนี้ ผู้แสวงบุญยังคงรวมตัวกันทุกเดือนเพื่อสืบสานประเพณีการสวดภาวนาและความศรัทธานี้

ชีวิตที่เงียบสงบของโนฮัดกลายเป็นพยานถึงความเชื่อ, การยอมจำนน, และพลังแห่งการช่วยเหลือของท่านนักบุญ เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับทั้งผู้เชื่อและผู้ที่คลางแคลงสงสัย โดยแสดงให้เห็นว่าอัศจรรย์ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งการเยียวยารักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนใจถึงความรักและการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเราอีกด้วย

ขอให้เรามีความเชื่อลึกซึ้งยิ่งขึ้นและไว้วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า ขอให้วิญญาณของเธอไปสู่สุขคติชั่วนิรันดร์ และขอให้เรื่องราวของเธอยังคงส่องแสงต่อไปเป็นแสงสว่างสำหรับทุกคนที่ต้องการอัศจรรย์

🕊️ นักบุญชาร์เบล โปรดภาวนาเพื่อเราด้วยเทอญ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คุณพ่อดาเมียนกับศีลมหาสนิท


“ศีลมหาสนิทเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราทุกคนละทิ้งความทะเยอทะยานทางโลก สำหรับผมและสำหรับคุณ หากไม่มีพระอาจารย์แห่งสวรรค์ของเราประทับอยู่บนพระแท่นบูชาในโบสถ์น้อยของผมตลอดเวลาแล้ว ผมคงไม่สามารถอดทนที่จะอยู่กับผู้ป่วยโรคเรื้อนในโมโลไกได้ ซึ่งผลที่ตามมาก็เริ่มปรากฏบนผิวหนังของผมและรู้สึกได้ทั่วร่างกาย ศีลมหาสนิทเป็นอาหารประจำวันของพระสงฆ์ ผมรู้สึกมีความสุข มีความพอใจ และยอมรับในสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษนี้ ซึ่งพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าทรงพอพระทัยให้ผมต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”

นักบุญดาเมียนแห่งโมโลไก (1840-1889)

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กิจเมตตาฝ่ายกายทั้งเจ็ด


กิจเมตตาเหล่านี้เป็นแนวทางที่สมบูรณ์แบบในการเลียนแบบพระเยซู

คำสอนของพระศาสนจักรกล่าวไว้เสมอว่าทั้งความเชื่อและการกระทำมีความสำคัญในการดำเนินชีวิตของเรา โดยเลียนแบบกิจการของพระเยซูและคำสั่งของพระองค์ในการรับใช้ซึ่งกันและกัน

เมื่อพระองค์เล่าเรื่องการแยกแกะออกจากแพะในวันพิพากษา พระองค์ตรัสกับแกะว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มัทธิว 25:40)

พระศาสนจักรได้สรุปกิจเมตตาเพื่อช่วยให้เรารับใช้พี่น้องของพระคริสต์ที่ต่ำต้อยที่สุด (เรามีกิจเมตตาฝ่ายวิญญาณ และกิจเมตตาฝ่ายกาย)

กิจเมตตาฝ่ายกายทั้งเจ็ดประการ ได้แก่

ให้อาหารแก่คนหิวโหย 
ให้เครื่องดื่มแก่คนกระหายน้ำ 
ให้ที่พักพิงแก่คนไร้บ้าน 
เยี่ยมเยียนคนป่วย 
เยี่ยมเยียนนักโทษ 
ฝังศพคนไร้ญาติ 
ให้เสื้อผ้าแก่คนไม่มี

บางครั้งชีวิตประจำวันของเรายุ่งมากจนเราไม่สามารถใช้เวลาทั้งวันไปกับการเป็นอาสาสมัครที่สถานสงเคราะห์คนไร้บ้านได้ หรือเราไม่สามารถบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อบรรเทาทุกข์ผู้คนจำนวนมากที่ยากจนได้

แต่เราพบวิธีเล็กๆ น้อยๆ ในการจัดการกิจเมตตาฝ่ายกาย เราสามารถแวะไปที่โรงพยาบาลหรือบ้านพักคนชราเพื่อทักทายผู้ป่วยที่โดดเดี่ยวหรือซื้ออาหารให้คนไร้บ้านที่อยู่ตามท้องถนน การบริจาคเพียงห้าหรือสิบบาทให้กับองค์กรการกุศลในท้องถิ่นก็ถือเป็นการบริจาคเช่นกัน!

การกระทำง่ายๆ เหล่านี้สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ คำพูดที่มีชื่อเสียงของนักบุญคัทเธอรีนแห่งเซียนนาเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าพระเจ้าสามารถทำอะไรดีๆ ให้คุณได้บ้างผ่านตัวคุณ “จงเป็นคนที่พระเจ้าต้องการให้คุณเป็น แล้วคุณจะจุดไฟเผาโลก”

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

พระสันตปาปาเลโอที่ 14 กับชาวอัฟริกัน


สาสน์ของพระสันตปาปาสะท้อนอยู่ในใจของชาวอัฟริกันคาทอลิก! 🙏

พระสันตปาปาเลโอที่ 14 ขณะที่ดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัลโรเบิร์ต ฟรานซิส พรีโวสต์ ได้ไปเยือนเคนยาในเดือนธันวาคม 2024 ท่านไตร่ตรองถึงความจำเป็นในการเอาใจใส่พระวาจาของพระเจ้าในฐานะ “จิตวิญญาณและชีวิต” และพระบุคคลของพระเยซูคริสต์ทรงเป็นแหล่งที่มาของ “ชีวิตที่แท้จริง” และทรงเป็นรากฐานของพระศาสนจักร

“เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระศาสนจักรเท่านั้น, พระศาสนจักรของเราที่ถูกสร้างขึ้นบนศิลาที่พระเยซูทรงประทานให้เราทุกคน,พระศาสนจักรที่มองเห็นได้, เมื่อนั้นความเชื่อในพระวรสาร, ความเชื่อในพระเจ้าของเรา,พระเยซูคริสต์ จึงจะคงอยู่ชั่วกาลนาน” พระองค์ตรัสในระหว่างการเสกโบสถ์น้อยแห่งใหม่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2024

พระองค์เน้นย้ำว่า “เมื่อเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น,เราจึงจะซื่อสัตย์อย่างแท้จริงต่อสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงขอจากเรา”

ให้เราสวดภาวนาเพื่อพระสันตปาปาเลโอที่ 14 🙏

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

พระสันตปาปาเลโอที่ 14 กับลูเทอร์


พระสันตปาปาลีโอที่ 14 เป็นบุคคลที่มีความเป็นคนแรกในหลายๆ ด้าน ไม่เพียงแค่เป็นพระสันตปาปาที่เกิดในอเมริกาพระองค์แรกเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระสันตปาปาพระองค์แรกจากคณะนักบุญออกัสติน (OSA) อีกด้วย ความเชื่อมโยงกับคณะนักบุญออกัสตินนี้มีความหมายทางประวัติศาสตร์อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าพระสันตปาปาเลโอที่ 10 ซึ่งพระองค์ถือเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์พระศาสนจักร ทรงเป็นผู้ขับไล่(บัพชะนียกรรม)มาร์ติน ลูเทอร์ พระสงฆ์จากคณะนักบุญออกัสติน ออกจากพระศาสนจักร การกระทำของลูเทอร์ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ ในอีกแง่หนึ่ง,พระสันตปาปาเลโอที่ 14 ทำให้วงจรกลับมาบรรจบอีกครั้งจากสมัยของพระสันตปาปาเลโอที่ 10 ทรงเป็นตัวแทนของความต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งภายในพระศาสนจักร

พระสันตปาปาเลโอที่ 10 ทรงบัพขนียกรรมมาร์ติน ลูเทอร์ ผู้ซึ่งอยู่ในคณะออกัสติน และอีก 504 ปีต่อมา พระสันตปาปาเลโอที่ 14 ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะออกัสตินเช่นกัน ทรงพยายามเยียวยาความขัดแย้งและแก้ไขผลกระทบระยะยาวจากการกระทำของลูเทอร์