พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024 พระเยซูเจ้าทรงเป็นเถาองุ่นแท้

           เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิดเพื่อให้เกิดผลมากขึ้น ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้วเพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เราดำรงอยู่ในท่าน กิ่งองุ่นเกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำรงอยู่ในเราฉันนั้น เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้านและจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟและถูกเผา ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในเรา และวาจาของเราดำรงอยู่ในท่าน ท่านอยากได้สิ่งใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์เมื่อท่านเกิดผลมากและกลายเป็นศิษย์ของเรา
(ยอห์น 15:1-8)








วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ไม่สนใจพระคัมภีร์เท่ากับไม่สนใจพระคริสตเจ้า

น.เยโรม มีเทวดาคอยช่วยขณะแปลพระคัมภีร์
         นักบุญเยโรม  เป็นองค์อุปถัมภ์ของการศึกษาพระคัมภีร์  เพราะท่านเป็นผู้รวบรวมหนังสือพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู , กรีก, และลาตินเอาไว้เป็นร้อยๆฉบับ  ท่านแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาลาติน  และยังได้เขียนความคิดเห็นในบางบทของพระคัมภีร์อีกด้วย  ท่านจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์อย่างแท้จริง
น.เยโรมยังเป็นที่รู้จักกันดีจากวาทะคำคมของท่านที่ว่า  ไม่สนใจพระคัมภีร์เท่ากับไม่สนใจพระคริสตเจ้า  คำคมนี้บอกเราว่าพระศาสนจักรสนใจศึกษาพระคัมภีร์เป็นเวลาช้านานแล้ว 
ยังมีความคิดเห็นของท่านอันเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับหนังสืออิสยาห์  น.เยโรมเรียกประกาศกอิสยาห์ว่าเป็นทั้งอัครสาวกและผู้แพร่ธรรม  เพราะอิสยาห์ได้กล่าวถึงพระคริสตเจ้าไว้เป็นจำนวนมาก  ก่อนที่พระองค์จะทรงบังเกิดมา  ท่านเขียนไว้ว่า : 
ข้าพเจ้าแปลพระคัมภีร์ตามที่ควรกระทำ  เพื่อทำตามพระบัญชาของพระคริสตเจ้าที่ว่า “จงค้นหาในพระคัมภีร์ จงแสวงหาแล้วท่านจะพบ  พระคริสตเจ้าไม่ได้ตรัสกับข้าพเจ้าเหมือนดังเช่นที่ตรัสกับชาวยิว” พวกท่านผิดพลาด ที่ไม่รู้จักพระคัมภีร์และไม่รู้จักฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้า  ตามที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้  พระคริสตเจ้าคือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและเป็นพระปรีชาญาณของพระองค์  ดังนั้น  การไม่สนใจพระคัมภีร์ก็เท่ากับไม่สนใจพระคริสตเจ้า
เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าจะเลียนแบบพ่อบ้านที่ฉลาด  ผู้ที่นำเอาเครื่องใช้ในบ้านทั้งเก่าและใหม่ออกมาใช้  และได้กล่าวกับเจ้าสาวของเขาในบทเพลงซาโลมอนว่า  “ฉันได้เก็บเครื่องใช้ทั้งเก่าและใหม่ไว้ให้แก่เธอ สุดที่รักของฉัน”  ด้วยเหตุนี้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าอธิบายถึงอิสยาห์  เพื่อพิสูจน์ว่าท่านไม่ได้เป็นแต่เพียงประกาศกเท่านั้น  แต่เป็นผู้แพร่ธรรมและเป็นอัครสาวกด้วย  เพราะท่านกล่าวถึงตัวท่านเองและกล่าวถึงผู้แพร่ธรรมคนอื่นว่า “เท้าของผู้ประกาศข่าวดีช่างสวยงามยิ่งนัก และเท้าของผู้ประกาศสันติภาพก็สวยงามด้วย  พระเจ้ายังได้ตรัสกับท่านอิสยาห์เหมือนกับว่าท่านเป็นอัครสาวกดังนี้  “เราจะส่งใครไป  ใครจะไปหาประชากรของเรา?”  และท่านตอบพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่  โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด”
คงไม่มีใครคิดว่า ข้าพเจ้าตั้งใจจะอธิบายทุกตอนของหนังสือพระคัมภีร์อันยิ่งใหญ่นี้ด้วยคำเทศน์เพียงสั้นๆ  เพราะในหนังสือนั้นบรรจุเรื่องราวลึกลับทุกอย่างขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ในพระคัมภีร์มีคำทำนายว่า  เอ็มมานูเอลจะบังเกิดจากหญิงพรหมจารีย์และจะทำกิจการอันน่ามหัศจรรย์และเครื่องหมายต่างๆ  ยังทำนายถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์  การถูกฝังและการกลับคืนชีพจากความตายในฐานะพระผู้ไถ่ของมนุษย์ทุกคน  ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ  ตรรกะ หรือจริยศาสตร์  เพราะสิ่งใดที่เหมาะสมคู่ควรต่อพระคัมภีร์  สิ่งใดที่สามารถสื่อในภาษามนุษย์และเป็นที่เข้าใจต่อมนุษย์ได้  สิ่งนั้นได้ถูกบรรจุอยู่ในหนังสืออิสยาห์  สำหรับเรื่องราวลึกลับนี้ท่านผู้เขียนได้เป็นพยานด้วยตัวท่านเองเมื่อท่านเขียนว่า “ ท่านจะได้เห็นนิมิตสิ่งต่างๆทุกเรื่อง  เหมือนอักษรที่จารึกอยู่ในม้วนหนังสือที่ปิดผนึก  เมื่อพวกเขาจะนำหนังสือไปยื่นให้แก่ผู้ปรีชาฉลาด  และกล่าวแก่เขาว่า  จงอ่านหนังสือนี้  และผู้นั้นจะตอบว่า  ข้าพเจ้าอ่านไม่ได้  เพราะหนังสือถูกปิดผนึกไว้  แต่เมื่อม้วนหนังสือถูกนำไปยื่นให้ผู้โง่เขลาและบอกเขาว่า  จงอ่านหนังสือนี้  เขาจะตอบว่า  ฉันอ่านไม่ได้  เพราะฉันอ่านหนังสือไม่ออก”
ข้อความนี้เป็นเหตุให้ผู้ใดอ่อนล้าหรือ  ขอให้เขาฟังสิ่งที่อัครสาวกพูดเถิด : ให้ประกาศกสองหรือสามคนพูด แล้วให้อีกคนหนึ่งแปลความหมาย  แต่ถ้าหากการเผยแสดงนั้นมาถึงผู้ใดที่อยู่ที่นั้น  ก็ให้คนแรกเงียบก่อน  พวกเขาทั้งหมดจะเงียบหรือพูดพร้อมกันได้อย่างไรเล่า?  ถ้าพวกเขาเข้าใจในสิ่งที่กำลังพูด  ทุกสิ่งก็จะเต็มไปด้วยปรีชาญาณและความรอบรู้  แต่หาใช่การสั่นสะเทือนของอากาศจากเสียงของมนุษย์และไปถึงหูของพวกเขาที่ทำให้พวกเขาเข้าใจ  แต่เป็นเพราะพระเป็นเจ้าที่ตรัสในจิตใจของประกาศกต่างหาก  ดังเช่นที่ประกาศกอีกองค์หนึ่งกล่าวไว้  “เป็นทูตสวรรค์ที่พูดภายในตัวข้าพเจ้า  จงร้องในหัวใจของเราว่า  อับบา  พระบิดา  และข้าพเจ้าจะฟังสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสในตัวของข้าพเจ้า”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น