Pages

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

สงครามที่เวียนนาปี1689



ในปี 1683 ซุลต่านเมลเหม็ดที่ 4 ประกาศสงครามจีฮัด และให้แกรนด์วีเซียร์แห่งตุรกีคือ คารา  มุสตาฟา เป็นผู้นำกองทัพเข้ายึดเวียนนาด้วยทหาร 150,000 นาย
การรุกรานของกองทัพออตโตมานพุ่งเป้าไปที่คริสต์ศาสนา  โซเบียสกีแห่งโปแลนด์จึงเข้าช่วยเหลือโดยไม่ลังเล  เพราะพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 ทรงวอนขอท่านให้ช่วยคริสตชนในยุโรปด้วย
กองกำลังพิทักษ์ปกป้องเมืองเวียนนาในขณะนั้นคือ เออร์เนส รัดดิเจอร์ ฟอน สตาร์เฮมเบอร์ก เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง  
โซเบียสกีทำตามสนธิสัญญาที่เคยให้ไว้และทำตามคำร้องขอของพระสันตปาปา  เขาได้นำทัพเดินทางไปที่เวียนนาพร้อมด้วยทหาร 30,00 นาย
ทหารพยายามปกป้องเมืองเวียนนาอย่างสุดกำลัง  แต่กองทัพออตโตมานใช้วิธีตัดเสบียงอาหารจากทุกแหล่ง  และใช้กำลังโจมตีอย่างหนักเพื่อทำลายกำแพงเมืองให้ได้
กองทัพตุรกีใกล้จะยึดเมืองได้สำเร็จแล้ว  ขณะที่กองทัพของโซเบียสกีและภาคีคือชาร์ลแห่งลอเรนส์ก็เดินทางมาถึง
ชาร์ลนำทหารมาด้วย 50,000 นาย และท่านยอมให้โซเบียสกีเป็นผู้นำ  เพราะเขามีประสบการณ์ในการรบกับพวกเติร์กมาก่อน
สงครามเริ่มต้นขึ้นก่อนที่กองกำลังทั้งหมดจะมาถึงครบทุกส่วน  ตอนเช้าตรู่กองทัพเติร์กเข้าบุกโจมตีก่อน  เพื่อทำให้ภาคีกองทัพศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถรวมตัวกันได้  ชาร์ลแห่งลอเรนส์เคลื่อนทัพไปด้านซ้าย  กองทัพเยอรมันบุกเข้าตรงกลาง  ส่วนกองทัพออสเตรียไปทางด้านขวา  แต่ยังขาดกองทหารของจักรวรรดิ(โปแลนด์)
ในที่สุดทหารม้าโปแลนด์ก็มาถึงและเข้าโจมตีทางปีกขวา  ทหารเยอรมัน-ออสเตรีย และทหารม้าโปแลนด์รวมกัน 20,000 นายเดินทัพลงมาจากเนินเขาเป็นระลอกๆ  นำโดยโซเบียสกีเป็นแนวหน้าพร้อมกับนายทหาร 3,000 คนเป็นหัวหอกโดยไม่ครั่นคร้ามหวั่นเกรง
เมื่อทหารม้าโปแลนด์โจมตีแนวหน้าของเติร์ก  กองทหารรักษาการณ์ชาวออสเตรียที่อยู่ในเมืองก็บุกเข้าโจมตีกองทัพเติร์กที่อยู่ด้านหลัง
กองทัพออตโตมานต้องประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญ....
            สงครามที่เวียนนาซึ่งนักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นสงครามที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก ได้ช่วยคริสตชนในยุโรปให้รอดพ้นจากการยึดครองของเติร์กและเป็นจุดสิ้นสุดของการขยายอาณาจักรของเติร์ก(อิสลาม) 
หลังจากสงครามเสร็จสิ้น  โซเบียสกีได้เอ่ยวาจาของจูเลียส  ซีซาร์ ซึ่งกล่าวว่า”vini  vidi  deus vicit”
                 “ข้ามา  ข้าเห็น  พระเจ้าทรงได้ชัยชนะ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น