พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2025 หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดประเวณี

           พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้ เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
(ยอห์น 8:1-11)








วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

หญิงโสเภณีที่ขัดขืนพระหรรษทาน


เรื่องนี้ได้รับการสอบสวนในกระบวนการสถาปนาเป็นนักบุญของบุญราศีฟรานซิส เจอโรม (St. Francis Jerome ค.ศ. 1642-1716) และภายใต้คำสาบานที่รับรองโดยพยานเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก ในปี ค.ศ. 1707 นักบุญฟรานซิส เจอโรมกำลังเทศน์สอนตามธรรมเนียมของท่านในละแวกเมืองเนเปิลส์ นักบุญพูดถึงนรกและการลงโทษอันน่ากลัวที่รอคอยคนบาปที่ใจแข็งไม่ยอมกลับใจ หญิงโสเภณีที่หน้าด้านคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น รู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดที่จะทำให้เธอสำนึกผิด จึงพยายามขัดขวางด้วยการพูดตลกและตะโกนพร้อมกับใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงดัง ขณะที่เธอยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง นักบุญก็ร้องออกมาว่า “ระวังตัวไว้เถิด,ลูกสาวของฉัน อย่าขัดขืนพระหรรษทาน ก่อนที่พระเจ้าจะลงโทษเธอภายในแปดวัน” หญิงที่น่าสงสารกลับยิ่งส่งเสียงโหวกเหวกมากขึ้น แปดวันผ่านไป และบังเอิญท่านนักบุญมาอยู่หน้าบ้านหลังเดิมอีกครั้ง คราวนี้เธอเงียบ หน้าต่างถูกปิด ผู้ฟังต่างพากันบอกนักบุญด้วยใบหน้าที่ตกตะลึงว่า แคทเธอรีน (ซึ่งเป็นชื่อของหญิงคนนั้น) เสียชีวิตกะทันหันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน นักบุญกล่าวว่า “เธอเสียชีวิตแล้ว!” “เอาล่ะ ให้เธอเล่าให้เราฟังตอนนี้ว่าเธอได้อะไรจากการหัวเราะเยาะเรื่องเกี่ยวกับนรก มาถามเธอกันดีกว่า”

 นักบุญกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ และทุกคนต่างคาดหวังว่าจะมีอัศจรรย์ ฝูงชนจำนวนมากตามมาด้วย นักบุญจึงขึ้นไปยังห้องของผู้ตาย และที่นั่น หลังจากสวดภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง นักบุญก็เปิดหน้าศพออก และกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “แคทเธอรีน บอกเราหน่อยว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” เมื่อได้รับคำสั่ง ผู้ตายก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับลืมตา ใบหน้ามีสีคล้ำ ใบหน้าแสดงออกถึงความสิ้นหวังที่น่ากลัว และด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก ผู้ตายก็กล่าวว่า “ในนรก ฉันอยู่ในนรก” และทันใดนั้น เธอก็ล้มลงสู่สภาพศพอีกครั้ง

“ผมได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น” พยานคนหนึ่งที่ให้การต่อผู้สอบสวนของสันตะสำนักกล่าว “แต่ผมไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมและผู้คนที่อยู่ที่นั้นได้ หรือแม้แต่ความรู้สึกที่ผมยังคงรู้สึกทุกครั้งที่เดินผ่านบ้านหลังนั้นและมองไปที่หน้าต่าง เมื่อเห็นบ้านที่โชคร้ายหลังนั้น ผมยังคงได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาที่ดังก้องอยู่ว่า “ในนรก ฉันอยู่ในนรก”  

  (ชีวประวัติของนักบุญฟรานซิส เจอโรม โดย Fr. Bach)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น