พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2025 พระเยซูเจ้าทรงพบกับอัครสาวกที่กาลิลี

           หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส เรื่องราวเป็นดังนี้ ศิษย์บางคนอยู่พร้อมกันที่นั่น คือซีโมน เปโตร กับโทมัสที่เรียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึ่งมาจากหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองคนของเศเบดีและศิษย์อีกสองคน ซีโมน เปโตรบอกคนอื่นว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย” เขาทั้งหลายออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย พอรุ่งสาง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงร้องถามว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม” เขาตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้านขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงเหวี่ยงแหออกไป และดึงขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำนวนมาก ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักกล่าวกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านี่” เมื่อซีโมน เปโตรได้ยินว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวม เพราะเขาไม่ได้สวมเสื้ออยู่ แล้วกระโดดลงไปในทะเล ศิษย์คนอื่นเข้าฝั่งมากับเรือ ลากแหที่ติดปลาเข้ามาด้วย เพราะอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
(ยอห์น 21:1-19)








วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แม่พระแห่งผลสำเร็จที่ดี (ตอนที่ 4)

ที่อารามคณะคอนเซ็ปชั่นนิสต์ ในควิโต  ปัจจุบันคือประเทศเอกวาดอร์  แม่พระทรงประจักษ์แก่ซิสเตอร์มาเรียนา  คุณแม่อธิการของอารามนี้....(อ่านต่อ)

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไปวัดเป็นประจำทุกอาทิตย์ทำไม?

คริสตชนคนหนึ่งได้เขียนจดหมายไปถึงบรรณาธิการนิตยสารคาทอลิกฉบับหนึ่ง และได้ตีพิมพ์จดหมายฉบับนี้ในคอลัมน์ จดหมายจากผู้อ่านเนื้อความในจดหมายพรรณนาถึงความรู้สึกผิดหวังจากการไปวัดวันอาทิตย์ เขาเขียนว่าผมไปวัดเป็นประจำทุกอาทิตย์เป็นเวลา 30 ปี ตลอดเวลาผมได้ฟังบทเทศน์มากกว่า 3,000 ครั้ง แต่ผมจำไม่ได้สักบทเดียว ดังนั้น ผมคิดว่าผมกำลังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และพระสงฆ์กำลังเสียเวลาในการเทศน์สอนเช่นกัน
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา บรรณาธิการได้รับจดหมายจากผู้อ่านอีกฉบับ เขียนว่าผมแต่งงานกับภรรยามาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวภรรยาของผมได้ทำอาหารให้ผมรับประทานมากกว่า 32,000 ครั้ง ผมจำเมนูอาหารไม่ได้ซักอย่างเดียว แต่ผมรู้และแน่ใจได้ว่า อาหารเหล่านั้นได้หล่อเลี้ยงชีวิตผมและทำให้ผมมีกำลังแข็งแรงในการทำงาน หากภรรยาไม่ทำอาหารให้ผมเสมอมา ผมคงลำบาก สุขภาพย่ำแย่และตายในที่สุดการมาวัดวันอาทิตย์เป็นเช่นเดียวกัน พระวาจาของพระเจ้าและคำเทศน์สอนที่เราได้ยินได้ฟัง ได้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตของเราให้เติบโตและเข้มแข็ง

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พระคาร์ดินัลคุง

by Fr Gerrard Hatton
เมื่อเร็วๆนี้ผมได้พบกับสตรีผู้หนึ่งที่เป็นมิชชันนารีในประเทศจีน  เธอไม่ได้เป็นคาทอลิก  แต่เธอรู้เรื่องดีเกี่ยวกับพระศาสนจักรใต้ดินในจีน  เธอเล่าให้ผมฟังหลายอย่างเกี่ยวกับคริสตจักรของชาวจีนผู้รักชาติ ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลจีน  คริสตจักรนี้ไม่มีพระสันตปาปาไม่เชื่อในการกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าและไม่เชื่อในพระจิตเจ้า  คริสตจักรนี้มีอำนาจมากแม้แต่รัฐบาลจีนเองก็ควบคุมไม่ได้  และในวันต่อมาผมได้ฟังรายการวิทยุคาทอลิก  ผู้พูดได้พูดถึงพระคาร์ดินัลชาวจีนชื่อ อิกนาตุส  คุง ปิง เม่ย (Ignatius Cardinal Kung Pin-Mei) ท่านถูกพวกคอมมิวนิสต์คุมขังในคุกนานถึง 30 ปี  เพราะท่านไม่ยอมละทิ้งความเชื่อหรือปฏิเสธอำนาจของพระสันตปาปา  ระหว่างที่ถูกคุมขัง ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีมิสซา  ท่านจึงรับศีลมหาสนิทด้วยความปรารถนาและสวดสายประคำวันละสามสายทุกวัน  ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระคาร์ดินัลอย่างลับๆ  ผู้พูดกล่าวว่า  สีแดงเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นอาภรณ์ของพระคาร์ดินัล  แต่ท่านคุง  ปรารถนาที่จะชโลมสีแดงด้วยโลหิตของท่านเพื่อยืนยันความเชื่อและความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้สืบทอดจากนักบุญเปโตร
ผู้พูดเล่าต่อไปเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาที่เคยร่วมพิธีมิสซากับพระคาร์ดินัลคุงซึ่งเวลานั้นมีอายุ 90 ปี  และท่านถวายมิสซาเป็นภาษาลาติน  ผู้พูดรู้สึกสะดุดใจว่า ในขณะที่สังฆานุกรทำความสะอาดผอบศีลให้แล้ว  พระคาร์ดินัลยังได้ทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่ง  มิใช่เพราะท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน  แต่ท่านทำเพราะความรัก  ตลอดปีนั้นท่านรอคอยที่จะได้ถือพระกายของพระคริสตเจ้าผู้ซึ่งท่านได้ยอมรับทนทุกข์เพื่อพระองค์  ท่านไม่ต้องการให้มีเศษปังหลงเหลืออยู่เลย  พวกเราระมัดระวังเหมือนท่านบ้างหรือเปล่า  เราสนใจบ้างไหม  ลองมองไปที่ชายผู้นี้ซึ่งต้อง รอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้านานถึง 30 ปี ลองถามท่านดูซิว่าเราควรปฏิบัติต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในศีลมหาสนิทอย่างไร?  เราได้เตรียมตัวอย่างดีหรือไม่ต่อองค์พระมหากษัตริย์แห่งมรณสักขี?

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ไม่สนใจพระคัมภีร์เท่ากับไม่สนใจพระคริสตเจ้า

น.เยโรม มีเทวดาคอยช่วยขณะแปลพระคัมภีร์
         นักบุญเยโรม  เป็นองค์อุปถัมภ์ของการศึกษาพระคัมภีร์  เพราะท่านเป็นผู้รวบรวมหนังสือพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู , กรีก, และลาตินเอาไว้เป็นร้อยๆฉบับ  ท่านแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาลาติน  และยังได้เขียนความคิดเห็นในบางบทของพระคัมภีร์อีกด้วย  ท่านจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์อย่างแท้จริง
น.เยโรมยังเป็นที่รู้จักกันดีจากวาทะคำคมของท่านที่ว่า  ไม่สนใจพระคัมภีร์เท่ากับไม่สนใจพระคริสตเจ้า  คำคมนี้บอกเราว่าพระศาสนจักรสนใจศึกษาพระคัมภีร์เป็นเวลาช้านานแล้ว 
ยังมีความคิดเห็นของท่านอันเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับหนังสืออิสยาห์  น.เยโรมเรียกประกาศกอิสยาห์ว่าเป็นทั้งอัครสาวกและผู้แพร่ธรรม  เพราะอิสยาห์ได้กล่าวถึงพระคริสตเจ้าไว้เป็นจำนวนมาก  ก่อนที่พระองค์จะทรงบังเกิดมา  ท่านเขียนไว้ว่า : 
ข้าพเจ้าแปลพระคัมภีร์ตามที่ควรกระทำ  เพื่อทำตามพระบัญชาของพระคริสตเจ้าที่ว่า “จงค้นหาในพระคัมภีร์ จงแสวงหาแล้วท่านจะพบ  พระคริสตเจ้าไม่ได้ตรัสกับข้าพเจ้าเหมือนดังเช่นที่ตรัสกับชาวยิว” พวกท่านผิดพลาด ที่ไม่รู้จักพระคัมภีร์และไม่รู้จักฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้า  ตามที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้  พระคริสตเจ้าคือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและเป็นพระปรีชาญาณของพระองค์  ดังนั้น  การไม่สนใจพระคัมภีร์ก็เท่ากับไม่สนใจพระคริสตเจ้า
เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าจะเลียนแบบพ่อบ้านที่ฉลาด  ผู้ที่นำเอาเครื่องใช้ในบ้านทั้งเก่าและใหม่ออกมาใช้  และได้กล่าวกับเจ้าสาวของเขาในบทเพลงซาโลมอนว่า  “ฉันได้เก็บเครื่องใช้ทั้งเก่าและใหม่ไว้ให้แก่เธอ สุดที่รักของฉัน”  ด้วยเหตุนี้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าอธิบายถึงอิสยาห์  เพื่อพิสูจน์ว่าท่านไม่ได้เป็นแต่เพียงประกาศกเท่านั้น  แต่เป็นผู้แพร่ธรรมและเป็นอัครสาวกด้วย  เพราะท่านกล่าวถึงตัวท่านเองและกล่าวถึงผู้แพร่ธรรมคนอื่นว่า “เท้าของผู้ประกาศข่าวดีช่างสวยงามยิ่งนัก และเท้าของผู้ประกาศสันติภาพก็สวยงามด้วย  พระเจ้ายังได้ตรัสกับท่านอิสยาห์เหมือนกับว่าท่านเป็นอัครสาวกดังนี้  “เราจะส่งใครไป  ใครจะไปหาประชากรของเรา?”  และท่านตอบพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่  โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด”
คงไม่มีใครคิดว่า ข้าพเจ้าตั้งใจจะอธิบายทุกตอนของหนังสือพระคัมภีร์อันยิ่งใหญ่นี้ด้วยคำเทศน์เพียงสั้นๆ  เพราะในหนังสือนั้นบรรจุเรื่องราวลึกลับทุกอย่างขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ในพระคัมภีร์มีคำทำนายว่า  เอ็มมานูเอลจะบังเกิดจากหญิงพรหมจารีย์และจะทำกิจการอันน่ามหัศจรรย์และเครื่องหมายต่างๆ  ยังทำนายถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์  การถูกฝังและการกลับคืนชีพจากความตายในฐานะพระผู้ไถ่ของมนุษย์ทุกคน  ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ  ตรรกะ หรือจริยศาสตร์  เพราะสิ่งใดที่เหมาะสมคู่ควรต่อพระคัมภีร์  สิ่งใดที่สามารถสื่อในภาษามนุษย์และเป็นที่เข้าใจต่อมนุษย์ได้  สิ่งนั้นได้ถูกบรรจุอยู่ในหนังสืออิสยาห์  สำหรับเรื่องราวลึกลับนี้ท่านผู้เขียนได้เป็นพยานด้วยตัวท่านเองเมื่อท่านเขียนว่า “ ท่านจะได้เห็นนิมิตสิ่งต่างๆทุกเรื่อง  เหมือนอักษรที่จารึกอยู่ในม้วนหนังสือที่ปิดผนึก  เมื่อพวกเขาจะนำหนังสือไปยื่นให้แก่ผู้ปรีชาฉลาด  และกล่าวแก่เขาว่า  จงอ่านหนังสือนี้  และผู้นั้นจะตอบว่า  ข้าพเจ้าอ่านไม่ได้  เพราะหนังสือถูกปิดผนึกไว้  แต่เมื่อม้วนหนังสือถูกนำไปยื่นให้ผู้โง่เขลาและบอกเขาว่า  จงอ่านหนังสือนี้  เขาจะตอบว่า  ฉันอ่านไม่ได้  เพราะฉันอ่านหนังสือไม่ออก”
ข้อความนี้เป็นเหตุให้ผู้ใดอ่อนล้าหรือ  ขอให้เขาฟังสิ่งที่อัครสาวกพูดเถิด : ให้ประกาศกสองหรือสามคนพูด แล้วให้อีกคนหนึ่งแปลความหมาย  แต่ถ้าหากการเผยแสดงนั้นมาถึงผู้ใดที่อยู่ที่นั้น  ก็ให้คนแรกเงียบก่อน  พวกเขาทั้งหมดจะเงียบหรือพูดพร้อมกันได้อย่างไรเล่า?  ถ้าพวกเขาเข้าใจในสิ่งที่กำลังพูด  ทุกสิ่งก็จะเต็มไปด้วยปรีชาญาณและความรอบรู้  แต่หาใช่การสั่นสะเทือนของอากาศจากเสียงของมนุษย์และไปถึงหูของพวกเขาที่ทำให้พวกเขาเข้าใจ  แต่เป็นเพราะพระเป็นเจ้าที่ตรัสในจิตใจของประกาศกต่างหาก  ดังเช่นที่ประกาศกอีกองค์หนึ่งกล่าวไว้  “เป็นทูตสวรรค์ที่พูดภายในตัวข้าพเจ้า  จงร้องในหัวใจของเราว่า  อับบา  พระบิดา  และข้าพเจ้าจะฟังสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสในตัวของข้าพเจ้า”

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การสวดภาวนา

       การสวดภาวนาเป็นกุญแจไขไปสู่ความรอด  น.ออกุสตินกล่าวว่า  “ผู้ที่สวดภาวนาอย่างดี  มีชีวิตที่ดี  ผู้ที่มีชีวิตที่ดี ก็จะตายดี  และผู้ที่ตายดีทุกๆอย่างก็จะดีหมด” 
        น.อัลฟองโซก็พูดในทำนองเดียวกัน  “ผู้ที่สวดภาวนามากๆจะได้รับการช่วยให้รอด  ผู้ที่ไม่สวดภาวนาจะถูกสาปแช่ง  ผู้ที่สวดภาวนาน้อย  ก็อยู่ในสถานะอันตรายต่อความรอดนิรันดรของเขา”   
        ท่านนักบุญยังกล่าวอีกว่า  ในโลกนี้ไม่มีคนที่แข็งแรงหรือคนที่อ่อนแอ  มีแต่คนที่รู้จักสวดภาวนาและคนที่ไม่สวดภาวนา  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  การสวดภาวนาคือความเข้มแข็งของเราในทุกเวลาและทุกสถานที่