พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2024 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสัปดาห์ที่ 4

           หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
(ลูกา 1:39-45)








วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ยาพิษในใจ

         ในประเทศจีน  มีสาวน้อยคนหนึ่งได้แต่งงานกับชายหนุ่มรูปงาม  เธอต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของสามี  เธอรู้สึกไม่ชอบแม่ของสามีมากๆ  เธอรู้สึกว่านางจู้จี้  ขี้บ่นและน่ารำคาญที่สุด  เธอมีเรื่องทะเลาะกับแม่สามีไม่เว้นแต่ละวัน  สามีของเธอก็ได้แต่เอามือกุมขมับพูดไม่ออก
        วันหนึ่งเธอไปหาเพื่อนของพ่อของเธอที่เป็นพ่อค้าขายสมุนไพร  เธอแค้นแม่ของสามีมากและตั้งใจจะฆ่าเสียให้ตาย  จึงออกปากขอให้เจ้าของร้านจัดยาพิษมาเพื่อเธอจะได้ฆ่าแม่สามีให้ตายสมใจ  เจ้าของร้านนำเอาผงสมุนไพรถุงหนึ่งมาให้เธอ  และบอกกับเธอว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาให้กับเธอได้อย่างแน่นอน  แต่ให้เธอค่อยๆใส่ผงสมุนไพรนี้ลงในอาหารให้แม่สามีทานทีละน้อยๆ และเพื่อให้ดูแนบเนียนว่า  เธอไม่ได้เป็นคนวางยาพิษ  ให้เธอช่วยทำอาหารให้แม่สามีและให้เธอทำดีกับแม่สามี  อย่าไปชวนเถียง  ชวนทะเลาะ  เพราะอย่างไรเสียแม่สามีก็จะต้องตายอย่างแน่นอน  ภายในเวลา 1-2 เดือน
        ลูกสะใภ้ดีใจและนำยาพิษนั้นไปผสมอาหารให้กับแม่สามีทุกมื้อ  ในขณะเดียวกันเธอก็พยายามทำดีกับแม่สามีเพื่อที่จะไม้ให้ใครสงสัย  แต่พอทำดีกับแม่สามีไปนานวันเข้า  เธอเริ่มมองเห็นความดีของแม่สามีซึ่งนอกจากจะไม่ด่า  ไม่ว่าเธออีกต่อไปแล้ว  หลายๆครั้งนางยังช่วยเธอทำงานบ้าน  แถมยังแอบไปชมเธอให้เพื่อนบ้านฟังอยู่เรื่อยๆ  หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป  ลูกสะใภ้รู้สึกผิดและไปที่ร้านสมุนไพรอีกครั้งเพื่อขอยาแก้พิษ  แต่เจ้าของร้านกลับบอกว่า  ไม่มียาแก้พิษหรอก  เพราะผงสมุนไพรที่ให้ไปเป็นเพียงยาบำรุงร่างกายเท่านั้น  ส่วนยาพิษนั้นมันอยู่ที่ในใจของเธอต่างหาก  อันได้แก่ความพยาบาท  ความเกลียดชัง  ซึ่งเวลานี้เธอได้ถอนมันออกไปจากใจเธอหมดแล้ว

ข้อคิด 
1.   ความเกลียดชัง อาฆาตพยาบาท  การตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว  นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว    ยังทำให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
            2. เราทำดีต่อผู้อื่น  เขาก็จะทำดีตอบ   

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ผู้ได้รับพระพรพิเศษชาวอิรัก

เมื่อเกิดสงครามนองเลือดในตะวันออกกลาง  ในซีเรีย  และในอิรัก  นี่จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่พระเยซูเจ้าและแม่พระทรงเลือกสรรบุคคลทั้งสองนี้เป็นพิเศษ >>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สิ่งควรรู้เกี่ยวกับการนอน

พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม. หรือนอนมากกว่า 10 ชม. ต่อคืน เป็นประจำ อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ คนที่นอนไม่เพียงพอนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมากขึ้น และการนอนระหว่าง 21. 00-22.00 น. จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะโกร๊ธ ฮอร์โมน ( growth homone) หลั่งออกมาอย่างเต็มที่ในช่วง 22.00-24.00 น. ช่วยซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย และควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน >>>อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เด็กที่ฝากผลงานไว้ให้โลก5

Nkosi Johnson
นักสู้เพื่อสิทธิเด็กผู้เกิดมาพร้อม HIV


Johnson เกิดมาในแอฟริกาใต้ เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ที่เกิดมาพร้อม HIV อีกกว่า 70,000 คนในแต่ละปี   แม่ของเขาเสียชีวิตโดยเอดส์ ทำให้อาสาสมัครหญิงดูแลแม่ลูกคู่นี้จึงรับเขามาอยู่ด้วย และเริ่มต้นพาเข้าโรงเรียน ซึ่งคุณแม่บุญธรรมก็ไม่ปิดเรื่องที่ Johnson เป็นเอดส์ ทางโรงเรียนแจ้งว่าจะติดต่อกลับไปอีกที และก็ติดต่อมาจริงๆ เพื่อนัดพูดคุย พบว่าคุณครูและผู้ปกครองครึ่งนึงยอมรับ และอีกครึ่งหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจ แต่สุดท้ายเขาได้เข้าเรียนในที่สุด จากนั้นจึงได้เริ่มการเวิร์คช็อปเพื่อสร้างความเข้าใจและให้การยอมรับต่อผู้ติดเชื้อ การกระทำของเขาส่งผลจนรัฐบาลได้ออกนโยบายว่า ต้องให้สิทธิในการศึกษาแก่เด็กผู้ติดเชื้อ ในที่สุด เขาเริ่มเป็นตัวแทนแห่งการเยียวยาผู้ติดเชื้อ การยอมรับและเข้าใจ จนขับเคลื่อนนโยบายของแอฟริกาใต้ในด้านนี้
Nkosi Johnson เสียชีวิตในเช้าตรู่วันที่ 1 มิถุนายน 2001 ท่ามกลางความเสียใจของหลายๆ คน แต่สุนทรพจน์เขาบนงาน International Aids Conference ครั้งที่ 13 ยังคงก้องอยู่ในหัวใจใครหลายๆ คน ด้วยประโยคง่ายๆ ที่ว่า
“Care for us and accept us – we are all human beings,”  
“We are normal. We have hands. We have feet. We can walk, we can talk, we have needs just like everyone else. Don’t be afraid of us – we are all the same.”

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ซิสเตอร์ เซซีเลีย

รูปภาพนี้กระจายไปทั่วโลกในอินเตอร์เน็ต  เป็นรูปถาพที่ถ่ายขณะสิ้นใจของซิสเตอร์ เซซีเลีย มาเรีย แห่งคาร์เมลไลท์  ภาพหนึ่งภาพเล่าเรื่องได้มากมาย
หลังจากเจ็บป่วยเป็นเวลานาน  ซิสเตอร์ เซซีเลีย ก็สิ้นใจในความยินดีชื่นบาน
เรื่องนี้มาจาก Aleteia’ ในภาคภาษาสเปน
            ถึงแม้จะเจ็บป่วย แต่ซิสเตอร์เซซีเลีย ก็ยังคงมีใจร่าเริง  เธอได้รับแรงใจจากสมาชิกในครอบครัวที่มาเยี่ยมเยียน  หลานชายและหลานสาวอยู่ที่สวนด้านนอกของโรงพยาบาล  และเธอส่งสาส์นด้วยลูกบอลลูนฮีเลียมไปให้พวกเขาจากทางหน้าต่าง
            ความร่าเริงยินดีของเธออาจอธิบายได้จากตอนที่เธอกำลังสวดภาวนาเพื่อรวมใจไปกับพิธีมิสซาในโบสถ์น้อยของโรงพยาบาล  เธอทำเหมือนกับได้ร่วมอยู่ในพิธีมิสซาซึ่งกระทำเสมอๆขณะที่อยู่ที่อาราม Carmel of Villa Pueyrredon ในกรุงบัวโนสไอเรส ของประเทศอาร์เจนตินา
            เมื่อเดือนที่ผ่านมานี้ความเจ็บป่วยทำให้เธอไม่สามารถพูดได้  และความอ่อนแอของร่างกายทำให้เธอไม่สามารถไปร่วมพิธีมิสซาได้
            ผู้ที่อยู่ในเวลาที่เธอสิ้นใจ ได้เห็นใบหน้าของเธอซึ่งเต็มไปด้วยความยินดีและสันติสุข  ราวกับว่าเธอได้พบผู้ที่เธอรอคอยแล้ว  ผู้ที่เธอได้มอบชิวิตของเธอให้ – พระเยซูเจ้า  พระเจ้าของเรา
            “ดิฉันรู้สึกประหลาดใจมาก”  ซิสเตอร์เซซีเลีย เขียนไว้ในเดือนพฤษภาคม “ในผลงานของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก  และโดยผ่านทางคนจำนวนมากที่ได้สวดภาวนาเพื่อดิฉัน”
            แม้แต่พระสันตปาปาฟรังซิส ก็ยังได้บอกแก่เธอว่า พระองค์ทรงสวดภาวนาเพื่อเธอด้วย  พระองค์ตรัสว่า  ทรงทราบถึงการถวายตัวของเธอและพระองค์ทรงรักเธอมาก
            พี่สาวของเธอซึ่งอยู่ในอาราม Carmel of Santa Fe กล่าวไว้อาลัยแก่เธอในพิธีฝังว่า “ เวลาที่สิ้นใจ  เธอค่อยๆหลับไปในพระเจ้า  หลังจากได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัสในความเจ็บป่วย  แต่เธออดทนรับด้วยความยินดี และยอมรับทุกสิ่งจากองค์เจ้าบ่าวสวรรค์ของเธอ”

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ความถ่อมตนและการแบ่งปัน


 
ที่สนามบินนานาชาติ มีนักธุรกิจสาวบุคลิกดีคนหนึ่ง จำเป็นต้องรอเวลาเครื่องออก อีก 2 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่อง เพื่อไปปลายทาง เธอจึงได้ซื้อหนังสืออ่านเล่น และคุกกี้ 1 ห่อ แล้วก็หาที่นั่งเพื่ออ่านและกินคุกกี้ฆ่าเวลา
เนื่องจากบริเวณที่นั่งรอเครื่องนั้นมีผู้คนมาก เธอจึงมองหาที่นั่ง และเจอที่นั่งที่หนึ่ง เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอมีชายหนุ่ม นั่งสบายเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้างๆ เขา แต่เธอก็ได้ไปนั่งที่ข้างๆชายหนุ่มนั่น เนื่องจากไม่มีที่ว่างอื่นๆแล้ว
สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบคุ๊กกี้ออกมาจากถุงที่วางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันทีละชิ้น เธอมองด้วยความ งุนงง ปนโกรธ แต่ไม่ต้องการมีปัญหา เธอจึงข่มใจและทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ารอเวลา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินคุ๊กกี้เรื่อยๆ เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า ถ้าหากฉันไม่ใช่คนมีชาติกระกูล และการศึกษาสูงล่ะก็ ฉันจะชกหน้าหมอนี่ให้หายซ่าเลย
ทุกครั้งที่เธอหยิบคุ๊กกี้ขึ้นมากิน ชายหนุ่มก็หยิบมันกินเช่นกัน ทั้งสองสบตากัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มนั่นจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็นสองท่อน ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้มารยาทจริงๆ ไร้การศึกษา จะขอบคุณซักคำก็ไม่มี
ต่อมาก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของแล้วเดินไปที่ทางออกขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองชายหัวขโมย ผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่แล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอ่านต่อ ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ
เธอตกใจมาก….ถ้าคุกกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ งั้นก็แปลว่าคุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน!!
เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม
ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดใจ เธอเองนั่นแหล่ะที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง
จะมีซักกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด แต่มันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และเราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก
นี่แหละที่ทำให้เราควรต้องคิดทบทวนให้แน่ใจ ก่อนตัดสินผู้อื่น เพราะหลายๆสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า
เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?”
เราได้เคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือเปล่า?”

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ความบากบั่นอดทน


หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่งเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ  เขาไปสมัครงานเป็นภารโรงในโรงเรียนแห่งหนึ่งแต่กลับถูกปฏิเสธ  ด้วยสาเหตุที่ว่า เขาอ่านและเขียนหนังสือไม่ได้  เพราะตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนเลย
หนุ่มบ้านนอกได้แต่เดินออกจากโรงเรียนที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย  เขากลับบ้านนอกด้วยความผิดหวัง
เมื่อกลับถึงบ้านจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดกเป็นที่ดินสวนรกร้างเล็กๆมาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยความเจ็บใจจึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียมหักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้นและค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อยอย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .จนสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียงขยายอาณาเขตสวนของตนเองกว้างขึ้น...เวลาผ่านไปเขากลายเป็นชายชราที่ร่ำรวย
อยู่มาปีหนึ่งเมื่อขายผลไม้ได้มากมาย  ชายชราก็หอบเงินไปที่ธนาคารในตัวอำเภอเพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก
ผู้จัดการสาขาเดินมาต้อนรับลูกค้าใหญ่รายใหม่ อย่างนอบน้อม  แล้วยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทองให้กับชายผู้ชราอย่างพินอบพิเทา พลางพูดขอให้กรอกใบสมัครให้
ชายชราส่ายหน้าช้าๆยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการพร้อมกับยิ้มให้ กล่าวว่า
พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...
ผู้จัดการรับปากกาคืนมาแบบงงๆพลางถามลูกค้ารายใหญ่อย่างเกรงใจ
“...เอ่อ......พวกเราทราบถึงชื่อเสียงของท่านในกิจการสวนผลไม้....แต่ท่านอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...
“...พ่อหนุ่ม” ชายชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี  “...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ...
แกถอนหายใจยาวก่อนจะพูดว่า
“...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วละ...