พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2025 สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า

         & ประชาชนรู้จึงติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสสอนเขาเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า ทรงรักษาคนที่ต้องการการบำบัดรักษา เมื่อจวนถึงเวลาเย็น อัครสาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนกลับไปเถิด เขาจะได้ไปตามหมู่บ้านและชนบทโดยรอบเพื่อหาที่พักและอาหาร เพราะขณะนี้เราอยู่ในที่เปลี่ยว” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรนอกจากขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวเท่านั้น หรือว่าเราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนเหล่านี้ทั้งหมด” ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณห้าสิบคน” เขาก็ทำตามและให้ทุกคนนั่งลง พระเยซูเจ้าทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ส่งให้บรรดาศิษย์นำไปแจกจ่ายแก่ประชาชน ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้สิบสองกระบุง
(ลูกา 9:11-17)








วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ฟาติมาและสิ่งเหนือธรรมชาติ

คุณพ่อได้เล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับอัศจรรย์บางอย่างที่เกิดขึ้นผ่านทางยาชินทาและฟรังซิสโก
>>>อ่านต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สาส์นแม่พระ2+25ต.ค.2017

สาส์นแม่พระประทานแก่ มารีจา 25 ต.ค. 2017
ลูกที่รักทั้งหลาย
         แม่ขอให้ลูกสวดภาวนาในช่วงเวลาแห่งพระหรรษทานนี้ ลูกทุกคนมีปัญหา มีความยากลำบาก มีความทุกข์ และไม่มีสันติสุข ขอให้บรรดานักบุญเป็นแบบอย่างแก่ลูกและส่งเสริมจิตใจของลูกให้มุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์ พระเป็นเจ้าจะอยู่ใกล้ลูกและลูกจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ เมื่อลูกแสวงหาพระองค์โดยผ่านทางการกลับใจส่วนตัวของลูก ความเชื่อจะให้ความหวังแก่ลูก และความปิติยินดีจะครอบครองหัวใจของลูก
ขอขอบใจที่ตอบสนองเสียงเรียกของแม่
 


 สาส์นแม่พระประทานแก่ มีรยานา 2 ต.ค. 2017
ลูกที่รักทั้งหลาย
แม่พูดกับลูกในฐานะมารดา  แม่พูดด้วยคำพูดที่เรียบง่ายแต่เป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความรักและความเอาใจใส่ในบรรดาลูกของแม่ ลูกที่วางใจในแม่โดยผ่านทางองค์พระบุตรของแม่ และองค์พระบุตรผู้ทรงดำรงอยู่ในนิรันดรภาพ ได้ตรัสกับพวกลูกด้วยพระวาจาแห่งชีวิต พระองค์ทรงหว่านความรักลงในหัวใจที่เปิดรับ เพราะฉะนั้น แม่ขอวิงวอนพวกลูก บรรดาอัครสาวกแห่งความรักของแม่ จงมีหัวใจที่เปิดเสมอที่จะมอบความเมตตาและการให้อภัย เหมือนดังที่องค์พระบุตรของแม่ทรงกระทำ จงให้อภัยเพื่อนบ้านของลูก เพราะด้วยวิธีนี้ สันติภาพจะดำรงอยู่ในตัวพวกลูก
ลูกทั้งหลายของแม่ จงเอาใจใส่ในวิญญาณของลูกเอง เพราะวิญญาณเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นของลูกอย่างแท้จริง
ลูกกำลังลืมความสำคัญของครอบครัว ครอบครัวไม่ใช่สถานที่ของความทุกข์และความเจ็บปวด แต่เป็นสถานที่ของความเข้าใจและความอ่อนโยน เป็นครอบครัวที่พยายามทำตามแบบอย่างชีวิตแห่งความรักขององค์พระบุตร ขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นเด็ก พระองค์ตรัสกับแม่ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องของพระองค์ เพราะฉะนั้น จงจำไว้ อัครสาวกแห่งความรักของแม่ ว่าทุกคนที่ลูกพบเป็นคนในครอบครัวของลูกด้วย เป็นพี่น้องของลูกเหมือนดังที่องค์พระบุตรตรัส
ลูกทั้งหลาย อย่าเสียเวลาไปคิดเรื่องของอนาคตและวิตกกังวล ขอให้ลูกใส่ใจแต่เพียงการดำเนินชีวิตอย่างดีทุกเวลาตามแบบขององค์พระบุตรเถิด แล้วลูกก็จะมีสันติภาพ

ลูกทั้งหลายของแม่ อย่าลืมที่จะสวดภาวนาเพื่อบรรดานายชุมพาบาลของลูก จงสวดภาวนาเพื่อที่พวกท่านจะได้ยอมรับทุกคนให้เป็นลูกของพวกท่าน ตามที่องค์พระบุตรของแม่ทรงปรารถนาให้พวกท่านเป็นบิดาฝ่ายจิตของพวกเขา   
ขอขอบใจลูก                

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สาส์นแม่พระแห่งซาโร


จากเกาะอิสเชีย ischia แม่พระทรงประจักษ์แก่เด็กบางคนและประทานสาส์นสำคัญแก่โลก

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คืนดีกับพระเป็นเจ้า


เมื่อประมาณ 400 ปีก่อนมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตในบาปหนักมานาน  เธอรู้สึกสำนึกผิดและต้องการกลับคืนดีกับพระเป็นเจ้า  ดังนั้นเธอจึงไปพบกับพระสังฆราชผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้นคือ น.ฟรังซิส เดอ ซาลส์ และขอสารภาพบาปของเธอกับท่าน  หลังจาก น. ฟรังซิส เดอ ซาลส์ อภัยบาปให้เธอแล้ว  เธอถามท่านนักบุญอย่างตะขิดตะขวงเพราะรู้สึกอับอายในตนเอง  เธอพูดว่า “คุณพ่อคะ  หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่เลวร้ายที่ดิฉันทำไปแล้ว  เวลานี้คุณพ่อคิดว่าลูกเป็นอย่างไรคะ?”  พระสังฆราชได้ให้คำยืนยันแก่เธอด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกเอ๋ย  พ่อเห็นลูกเป็นเหมือนนักบุญ  ชีวิตในอดีตของลูกมันผ่านไปและไม่มีอีกต่อไปแล้ว  เพราะลูกถูกยกขึ้นจากสถานะบาปสู่สถานะแห่งพระหรรษทานแล้ว”
ศีลอภัยบาปทำให้เรากลับคืนมาสู่สถานะพระหรรษทาน  ทำให้เรารู้สึกถึงความชื่นชมยินดีของพระเป็นเจ้า  บาปทำให้วิญญาณของเราหม่นหมองเศร้าใจ  ทำให้ไม่รับรู้ในความยินดีของพระเป็นเจ้า  ถ้าไม่ไปรับศีลอภัยบาป  เราจะยังคงอยู่ในสภาพเช่นนั้น และนานไปจะกลายเป็นความชินชา  จนไม่รู้สึกว่าบาปเป็นสิ่งที่ผิดอีกต่อไป  ดังนั้นเราควรไปสารภาพบาปเพื่อรับการอภัยบาปเสีย  แม้ว่าจะเป็นเพียงบาปเบาก็ตาม