พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฏาคม 2024 พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองนาซาเร็ธ

           พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นกลับไปยังถิ่นกำเนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วย ครั้นถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรม ผู้ฟังมากมายต่างประหลาดใจ และพูดว่า “เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำเร็จด้วยมือของเขา คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ” คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางคนให้หายจากโรคภัย พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ
(มาระโก 6:1-6)








วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

พระเจ้าปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด


พระองค์จะไม่ทรงทำอะไรเพื่อเปลี่ยนใจเขาเลยหรือ? พระองค์ทรงส่งการดลใจที่ดีและความคิดอันบริสุทธิ์แก่เขา
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

แสวงหาสวรรค์เพราะความรักไม่ใช่เพราะความกลัว


ถ้าหากโทษทัณฑ์ในนรกสามารถมองเห็นได้ตามที่มันเป็นแล้ว,ประชาชนจะตัวสั่นขวัญผวาด้วยความกลัว,แล้วพวกเขาจะพยายามแสวงหาสวรรค์เพราะความกลัวมากกว่าเพราะความรัก ด้วยเหตุที่ไม่ควรมีใครที่ปรารถนาความสุขแห่งสวรรค์เพราะความกลัวโทษทัณฑ์แต่ควรมาจากความรักอันศักดิ์สิทธิ์,ดังนั้นโทษทัณฑ์ของนรกจึงถูกซ่อนไว้ในเวลานี้  
ต่อเมื่อวิญญาณแยกออกจากร่างกาย,พวกเขาจะได้รับประสบการณ์เหล่านั้นที่พวกเขาไม่ปรารถนาจะรู้ด้วยสติปัญญาของพวกเขาในเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่และสามารถทำได้บนโลก
#Creator

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา 13 ต.ค. 1917


จากปากคำของผู้เป็นพยาน 
คุณพ่อ โจ เมนิตรา(Fr.Joao Menitra),ผู้เห็นอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์ที่ฟาติมาในวันที่ 13 ตุลาคม 1917,กล่าวว่า
“ผมจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังหมุนอย่างเร็วและอยู่ใกล้ตัวผมมาก และผมก็มีความคิดขึ้นมาทันทีว่า ‘ผมกำลังจะตาย!’ ผมคุกเข่าลงอ้อนวอนขออภัยบาปต่อพระเจ้าสำหรับความผิดทั้งหมดที่ผมอาจกระทำไป”

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

สองชั่วโมงในไฟชำระยาวนานกว่า80ปีของชีวิตบนโลก


คุณแม่เอสเปแรนซ่า(mother Esperanza)เล่าว่า
พระเยซูเจ้าทรงบอกฉันว่า “เรากำลังจะแสดงให้ลูกเห็นว่าพระสังฆราชได้รับเกียรติอันรุ่งโรจน์มากเพียงไรเมื่อเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เพราะเขาอนุมัติในการสร้างอาสนวิหารแห่งความรักที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา,แห่งแรกของโลก
แล้วนั้นพระเยซูเจ้าก็หายไปและพระสังฆราชก็มาถึงพร้อมกับร่างกายอันรุ่งโรจน์ของท่าน
พระสังฆราชบอกกับเธอว่า: "คุณแม่เอสเปแรนซ่า,พระเยซูเจ้าทรงส่งเรามาเพื่อขอบคุณลูกเพราะลูกบอกให้เราอนุมัติในการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์... พระเยซูเจ้าทรงพอพระทัยมาก
เวลานี้เราได้รับเกียรติอันรุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ชั่วนิรันดร์ แต่เราต้องบอกลูกว่า ก่อนที่เราจะไปสวรรค์,เราได้รับความทุกข์ทรมานสาหัสเป็นเวลานานในไฟชำระ...
คุณแม่เอสเปแรนซ่าตอบว่า “พระคุณเจ้า,ท่านเพิ่งเสียชีวิตเมื่อวานนี้เองที่กรุงโรม,เหตุไฉนท่านถึงบอกกับลูกว่าท่านทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ในเมื่อมันเพิ่งผ่านไปเพียงสองวันเล่า?”...
พระสังฆราชตอบว่า “คุณแม่เอสเปแรนซ่า,เวลาแห่งชีวิตหลังความตายไม่เหมือนกับที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราได้รับความทุกข์ทรมานในนรกเพียงสองวัน แต่มันยาวนานมากกว่า 80 ปีของชีวิตเราบนแผ่นดินโลกเสียอีก...
เพราะเมื่อวิญญาณตายไป เขาไปปรากฏตัวเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและได้เห็นการปรากฏของพระเจ้า,วิญญาณรู้สึกละอายกับพฤติกรรมที่เคยมีในชีวิตที่เขาได้ละเลยพระเจ้า
เราต้องการบอกทุกคนว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง และสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกคือการรักพระเจ้า... อย่างอื่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย"