พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2025 โปรดเพิ่มพูนความเชื่อแก่เราด้วยเถิด

          บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด’ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า ‘ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า “จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด” ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน
          ‘ท่านผู้ใดที่มีคนรับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อคนรับใช้กลับจากทุ่งนา ผู้นั้นจะพูดกับคนรับใช้หรือว่า “เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด” แต่จะพูดมิใช่หรือว่า “จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม” นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า “ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”’
(ลูกา 17:5-10)








วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

สองชั่วโมงในไฟชำระยาวนานกว่า80ปีของชีวิตบนโลก


คุณแม่เอสเปแรนซ่า(mother Esperanza)เล่าว่า
พระเยซูเจ้าทรงบอกฉันว่า “เรากำลังจะแสดงให้ลูกเห็นว่าพระสังฆราชได้รับเกียรติอันรุ่งโรจน์มากเพียงไรเมื่อเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เพราะเขาอนุมัติในการสร้างอาสนวิหารแห่งความรักที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา,แห่งแรกของโลก
แล้วนั้นพระเยซูเจ้าก็หายไปและพระสังฆราชก็มาถึงพร้อมกับร่างกายอันรุ่งโรจน์ของท่าน
พระสังฆราชบอกกับเธอว่า: "คุณแม่เอสเปแรนซ่า,พระเยซูเจ้าทรงส่งเรามาเพื่อขอบคุณลูกเพราะลูกบอกให้เราอนุมัติในการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์... พระเยซูเจ้าทรงพอพระทัยมาก
เวลานี้เราได้รับเกียรติอันรุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ชั่วนิรันดร์ แต่เราต้องบอกลูกว่า ก่อนที่เราจะไปสวรรค์,เราได้รับความทุกข์ทรมานสาหัสเป็นเวลานานในไฟชำระ...
คุณแม่เอสเปแรนซ่าตอบว่า “พระคุณเจ้า,ท่านเพิ่งเสียชีวิตเมื่อวานนี้เองที่กรุงโรม,เหตุไฉนท่านถึงบอกกับลูกว่าท่านทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ในเมื่อมันเพิ่งผ่านไปเพียงสองวันเล่า?”...
พระสังฆราชตอบว่า “คุณแม่เอสเปแรนซ่า,เวลาแห่งชีวิตหลังความตายไม่เหมือนกับที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราได้รับความทุกข์ทรมานในนรกเพียงสองวัน แต่มันยาวนานมากกว่า 80 ปีของชีวิตเราบนแผ่นดินโลกเสียอีก...
เพราะเมื่อวิญญาณตายไป เขาไปปรากฏตัวเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและได้เห็นการปรากฏของพระเจ้า,วิญญาณรู้สึกละอายกับพฤติกรรมที่เคยมีในชีวิตที่เขาได้ละเลยพระเจ้า
เราต้องการบอกทุกคนว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง และสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกคือการรักพระเจ้า... อย่างอื่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น