พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2025 หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดประเวณี

           พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้ เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
(ยอห์น 8:1-11)








วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2567

อย่าวิตกกังวล


นักบุญไม่เคยกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับพวกเขา ความกังวลเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือพระเจ้าคิดอย่างไรกับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยสูญเสียสันติสุขในจิตใจเมื่อคนอื่นพูดหรือทำสิ่งต่างๆที่ต่อต้านพวกเขา – ดังที่พระเยซูเองตรัสไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นของพระองค์ ในทางตรงกันข้าม นักบุญมักจะรู้สึกผ่อนคลายเสมอ เพราะพวกเขารู้ดีว่าการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้ามักจะขัดแย้งกับความต้องการของมนุษย์

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1642 ทหารสองนายได้ควบคุมพระสงฆ์วัย 86 ปีไปตามถนน Bianchi ไปยังเรือนจำของศาลศาสนา ชื่อของพระสงฆ์ท่านนั้นคือโจเซฟแห่งคาลาซานซ์(Joseph of Calasanz) ผู้ก่อตั้งคณะนักบวชแห่งปิอาริส(Religious Order of the Piarists) เขาถูกจับอย่างกะทันหันในข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ - โดยไม่มีเวลาแม้แต่จะเอาหมวกไปด้วย เขาเดินตัวงอและสั่นเทา แต่จิตใจยังคงสงบ, สงบมากจนกระทั่งแม้แต่ในระหว่างการสอบสวน, เขาเผลอหลับไป! ในที่สุดเขาก็ถูกปลดออกจากสถาบันที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเองและเสียชีวิตในเวลาไม่นานหลังจากนั้น โชคดีที่อีกไม่กี่ปีต่อมาทุกอย่างก็ถูกแก้ไข: การใส่ร้ายถูกเปิดเผย คณะ Piarists กลายเป็นคณะสงฆ์และเขาก็กลายเป็นนักบุญโจเซฟแห่งคาลาซานซ์  
      #Catholic 4 Life

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2567

ฉลองแม่พระบังเกิด


 
การประสูติของพระแม่มารีย์เกิดขึ้นที่จุดบรรจบของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของยุคแห่งความหวังและพระสัญญาของชนชาติยิว และเป็นการเริ่มต้นยุคแห่งพระหรรษทานและความรอดในพระเยซูคริสต์  
 
การประสูติของพระแม่มารีย์ถูกกำหนดไว้โดยเฉพาะเพื่อภารกิจของพระนางในฐานะมารดาของพระผู้ช่วยให้รอด การดำรงอยู่ของพระนางเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับพระคริสต์: เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์อันเป็นเอกลักษณ์และถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว แผนการณ์ลึกลับของพระเจ้าเกี่ยวกับการจุติของพระวจนาตถ์นั้นมีพระแม่มารีย์ซึ่งเป็นมารดาของพระองค์รวมอยู่ด้วย ในลักษณะนี้ การประสูติของพระแม่มารีย์จึงถูกแทรกไว้ในใจกลางของประวัติศาสตร์แห่งความรอด  
 
แม้ว่าจะไม่มีแหล่งข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุว่าพระแม่มารีย์ประสูติเมื่อใด แต่วันที่พระแม่มารีย์ประสูตินั้นถูกกำหนดขึ้นโดยเปรียบเทียบกับวันฉลองพระนางปฏิสนธินิรมล ซึ่งตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม โดยนับเวลาห่างไป 9 เดือน ดังนั้นพระศาสนจักรจึงฉลองวันประสูติของพระนางมารีย์ตรงกับวันที่ 8 กันยายน  

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

แม่พระแห่งศิลา


แม่พระทรงขอให้ผมเปลี่ยนหุบเขานี้ให้เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณที่สำคัญ
>>>อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2567

ต่อสู้กับความลุ่มหลง


สิ่งนี้จะช่วยคุณ

1 โครินทร์. 6:18-19 “จงหลีกหนีการล่วงประเวณี......ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของผู้สถิตในท่าน ท่านได้รับพระจิตนี้จากพระเจ้า”

1 เธสะโลนิกา 4:3-5 “นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือให้ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ละเว้นจากการผิดประเวณี”

โรม 13:14 “แต่จงดำเนินชีวิตโดยสวมพระเยซูคริสตเจ้าเป็นอาภรณ์ อย่าทำตามความต้องการของเนื้อหนัง”

โคโลสี 3:5 “ท่านทั้งหลายจงปราบโลกียวิสัยในตัวท่าน คือการผิดประเวณี ความลามก กิเลสตัณหา ความปรารถนาในทางชั่วร้าย และความโลภซึ่งเปรียบเสมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างหนึ่ง”

เอเฟซัส 4:18-19 “อย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิดดังที่คนต่างศาสนาทำ เขาเหล่านั้นมีความคิดมืดมัว ความโง่เขลา และจิตใจแข็งกระด้างทำให้เขาอยู่ห่างจากชีวิตของพระเจ้า เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก จึงปล่อยตัวในความลามก ทำการน่าบัดสีทุกอย่างโดยไม่รู้จักอิ่ม”

2 ทิโมที 2;22 “จงหลีกหนีอารมณ์และความรู้สึกของคนหนุ่ม แต่จงมุ่งหาความชอบธรรม ความเชื่อ ความรักและสันติพร้อมกับทุกคนที่เรียกขานองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์”

กาลาเทีย 5:16 “บัดนี้ ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า จงดำเนินตามพระจิตเจ้า และอย่าตอบสนองความปรารถนาตามธรรมชาติ”

สุภาษิต 6:25 “ใจของลูกอย่าปรารถนาความงามของนาง อย่าให้นางใช้สายตาจับตัวลูกไว้”

มัทธิว 5:27-29 “ท่านได้ยินคำกล่าวว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุทำให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก”

สดุดี 119:9 “คนหนุ่มจะรักษาวิถีชีวิตของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร ก็โดยยึดมั่นในพระวาจาของพระองค์”

ฟิลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ในพระองค์ ผู้ประทานพละกำลังแก่ข้าพเจ้า”

1 โครินทร์. 10:13 “ท่านทั้งหลายไม่เคยเผชิญกับการทดลองใดๆที่เกินกำลังมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้ท่านถูกทดลองเกินกำลังของท่าน แต่เมื่อถูกผจญ พระองค์จะประทานความสามารถให้ท่านยืนหยัดมั่นคงและหาทางออกได้”

ฮีบรู. 2:18 “ในฐานะที่พระองค์ทรงรับการทรมานและทรงผ่านการทดลองมาแล้ว พระองค์จึงทรงช่วยเหลือผู้ที่ถูกทดลองได้ด้วย”

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2567

พระสันตะปาปาเยือนอินโดนีเซีย


 
อินโดนีเซียต้อนรับ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ที่เสด็จถึงกรุงจาการ์ตาในวันนี้ โดยนี่จะเป็นจุดหมายปลายทางแรกในภารกิจการเยือนแถบเอเชียแปซิฟิก เพื่อส่งเสริมความปรองดองระหว่างศาสนา 
พระสันตะปาปาฟรังซิสเสด็จเยือนประเทศอินโดนีเซียระหว่างวันที่ 3-6 กันยายน 2024 นี้ ศาสนาคริสต์เข้ามาในอินโดนีเซียเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 7 แล้ว แต่เริ่มแพร่หลายอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 16 เมื่อมิชชันนารีคาทอลิกหลายคนที่ร่วมเดินทางมากับชาวโปรตุเกส และได้เริ่มเทศนาในหมู่เกาะดังกล่าว  
พระศาสนโรมันคาทอลิกเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ด้วยความสามารถในการปลูกฝังคุณค่าพระวรสารในสังคมอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีชาวคาทอลิกมากกว่า 3% ของประชากรและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคริสตชนคาทอลิกจะมีจำนวนน้อย แต่พระศาสนจักรก็เป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวา ซึ่งบรรดาคริสตชนฆราวาสมีความกระตือรือร้นในการทำงานด้านศาสนา ตลอดจนมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พบว่ากระแสเรียกแห่งการเป็นนักบวชและพระสงฆ์ลดน้อยลง เมื่อเทียบกับทศวรรษ 1980 ที่ผ่านมา 

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2567

หย่อนอารมณ์


โบสถ์แห่งหนึ่งในฝรั่งเศสได้ติดโปสเตอร์ไว้หน้าโบสถ์อ่านว่า... (แปล):

"เมื่อคุณเข้าไปในโบสถ์แห่งนี้ อาจเป็นไปได้ที่คุณจะได้ยิน "เสียงเรียกของพระเจ้า" อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเป็นไปได้ที่พระองค์จะเรียกโดยโทรหาคุณทางโทรศัพท์มือถือของคุณ ขอบคุณที่ปิดโทรศัพท์ของคุณ หากคุณต้องการพูดคุยกับพระเจ้า จงเข้าไปในโบสถ์, เลือกสถานที่เงียบสงบแล้วคุยกับพระองค์ หากคุณต้องการพบพระองค์ ให้ส่งข้อความหาพระองค์ขณะที่คุณกำลังขับรถ

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2567

อัศจรรย์ศีลมหาสนิทที่อินเดีย



" ...อัศจรรย์ศีลมหาสนิทเกิดขึ้นกับเด็กหญิงวัย 14 ปี ชื่ออักนา ในอินเดีย 3 ครั้งติดต่อกันในพิธีมิสซาวันอาทิตย์ (21, 28 กรกฎาคม และ 4 สิงหาคม 2024) และอีก 1 ครั้ง (9 สิงหาคม 2024) : "

- ครั้งแรก: อักนารับศีลมหาสนิทด้วยมือ ศีลมหาสนิทกลายเป็นเลือดและหยดลงมาที่ด้านล่างของมือเธอ เธอตกใจและแสดงให้เพื่อนๆ ดู พระสังฆราชจึงมาดูและนำศีลมหาสนิทไปเก็บไว้ที่พระแท่นบูชา

- ครั้งที่สอง: อักนารับศีลมหาสนิทในปากของเธอ (เนื่องจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทางโบสถ์จึงเปลี่ยนให้ทุกคนรับศีลมหาสนิทในปาก) อักนารู้สึกว่ามีเลือดไหลในปาก มีรสเหมือนเลือด และศีลมหาสนิทก็กลายเป็นชิ้นเนื้อ

อักนาไม่กล้ากลืน พระสงฆ์จึงนำศีลมหาสนิทออกจากปาก

- ครั้งที่สาม: รับศีลมหาสนิทในปาก ครั้งนี้ศีลมหาสนิทกลายเป็นชิ้นเนื้อรูปหัวใจเล็กๆ ตามภาพที่เผยแพร่

- ครั้งที่ 4 (9 สิงหาคม) เกิดขึ้นระหว่างพิธีมิสซาที่โรงเรียนเช่นกัน

และล่าสุด อักนาได้รับบาดแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มือซ้าย เธอรู้สึกเหมือนมีตะปูทิ่มมือ