พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2024 ผู้ที่เป็นใหญ่ในสวรรค์

           ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี เข้ามาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าทั้งสองปรารถนาให้พระองค์ทรงกระทำตามที่ข้าพเจ้าจะขอนี้” พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านปรารถนาให้เราทำสิ่งใด” ทั้งสองทูลตอบว่า “ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม หรือรับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่” ทั้งสองทูลว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้วยที่เราจะดื่มนั้น ท่านจะได้ดื่ม และการล้างที่เราจะรับนั้น ท่านก็จะได้รับ แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
           เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธยากอบและยอห์น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกเขาทั้งหมดมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า คนต่างชาติที่คิดว่าตนเป็นหัวหน้าย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้เป็นใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน เพราะบุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์”
(มาระโก 10:35-45)








วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ฟาติมา สิ่งที่ซ่อนอยู่


มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ามีปรากฏการณ์ลึกลับเกิดขึ้นที่ฟาติมา รวมถึงเมืองใกล้เคียง
>>>อ่านต่อ

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ครบรอบ 107 ปีการประจักษ์ที่ฟาติมา


วันที่ 13 ตุลาคม 1917 --- แม่พระทรงประจักษ์มาที่ฟาติมาเป็นครั้งที่หกและเป็นครั้งสุดท้าย --- และเกิดอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์ขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า อัศจรรย์แห่งฟาติมา ...

 ในคืนวันที่ 12-13 ตุลาคม ฝนตกทั่วพื้นจนเปียกโชกและผู้แสวงบุญที่เดินทางมาจากทุกทิศทุกทางสู่ฟาติมานับหมื่นคน พวกเขาเดินทางมาโดยเท้า รถลาก และแม้กระทั่งรถยนต์ เข้าสู่แอ่งน้ำโควาเดอลาเรีย ซึ่งปัจจุบันยังคงผ่านหน้าจัตุรัสขนาดใหญ่ของมหาวิหาร จากที่นั่น พวกเขาเดินลงมาตามทางลาดที่ลาดเอียงเล็กน้อยไปยังสถานที่ที่มีการสร้างเสาและคานข้ามต้นโอ๊กขนาดเล็กๆ ปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวมี Capelhina (โบสถ์น้อย) ที่สร้างขึ้นมีกระจกและเหล็กแบบสมัยใหม่ ล้อมรอบโบสถ์น้อยแห่งแรกที่สร้างขึ้นที่นั่นและรูปปั้นแม่พระแห่งสายประคำแห่งฟาติมาซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของต้นโอ๊กขนาดเล็ก

 ส่วนเด็กๆเดินทางไปที่โควาเดอลาเรียแล้ว พระแม่มารีย์ทรงสัญญาว่าจะมาถึงตอนเที่ยง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นถึงจุดสูงสุด พระแม่มารีย์ก็ประจักษ์มาตามที่บอกไว้

 ลูซีอาถามแม่พระ --- "ท่านจะบอกชื่อของท่านให้ฉันทราบได้ไหมคะ?"

 พระแม่มารีย์ตอบว่า --- "เราคือพระแม่มารีย์แห่งสายประคำ"
 ลูซีอาถามต่อ --- "ลูกมีคำร้องขอมากมายจากหลายๆคน ท่านจะอนุญาตหรือไม่คะ?"
 พระแม่มารีย์ตอบว่า --- "แม่จะอนุญาตบ้าง และปฏิเสธบ้าง ผู้คนต้องแก้ไขชีวิตของตนและขออภัยโทษสำหรับบาปของตน พวกเขาต้องไม่ทำให้พระเจ้าของเราขุ่นเคืองอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงขุ่นเคืองพระทัยมากเกินไปแล้ว!"

 เมื่อพระแม่แห่งสายประคำทรงลอยขึ้นไปทางทิศตะวันออก พระนางทรงหันฝ่ามือไปทางท้องฟ้า ขณะที่ฝนหยุดตกแล้ว เมฆดำยังคงบดบังดวงอาทิตย์อยู่ ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ก็ทะลุผ่านเมฆและมองเห็นเป็นแผ่นเงินที่หมุนวนอย่างนุ่มนวล

  “ดูดวงอาทิตย์!” --- ลูซีอาบอกกับฝูงชน

 จากจุดนี้ ภาพที่ปรากฏมีสองแบบที่แตกต่างกัน คือ ปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ที่ผู้ชมราว 70,000 คนเห็น และปรากฏการณ์ที่เด็ก ๆ เท่านั้นที่เห็น ลูซีอาบรรยายปรากฏการณ์หลังนี้ในบันทึกความทรงจำของเธอ

 หลังจากที่พระแม่มารีย์ทรงหายลับไปในระยะไกลของท้องฟ้า เราเห็นนักบุญยอแซฟกับพระกุมารเยซูและพระแม่มารีย์ที่สวมชุดสีขาวมีผ้าคลุมสีน้ำเงินอยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ นักบุญยอแซฟและพระกุมารเยซูดูเหมือนจะอวยพรโลก เพราะพวกเขาใช้มือทำเครื่องหมายไม้กางเขน เมื่อไม่นานต่อมา พระแม่มารีย์ก็หายไป ฉันเห็นพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์ ดูเหมือนพระเยซูเจ้าจะทรงอวยพรโลกในลักษณะเดียวกับที่นักบุญยอแซฟทรงทำ พระแม่มารีย์ก็หายไปเช่นกัน และฉันได้เห็นพระแม่มารีย์อีกครั้ง คราวนี้มีรูปร่างเหมือนพระแม่มารีย์แห่งคาร์เมล [มีเพียงลูเซียเท่านั้นที่เห็นภาพสุดท้ายนี้ ซึ่งเป็นสิ่งบอกเหตุว่าเธอกำลังจะเข้าในคณะคาร์เมลในอีกหลายปีต่อมา

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

รู้สึกท้อแท้เมื่อแพ้ต่อการประจญหรือ?


เมื่อใดก็ตามที่เราล้มลง เราก็ควรวิ่งเหมือนเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมอกอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบาป


บาปคือการละทิ้งพระเจ้าโดยเจตนา ทำลายจิตวิญญาณและความสัมพันธ์ของตนเองกับเพื่อนมนุษย์
>>>อ่านต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คุณค่าของความทุกข์


คณพ่อปีโอ เป็นผู้ที่ได้รับพระพรฝ่ายจิตจากสวรรค์และท่านมีความเข้าใจในชีวิตฝ่ายจิตอย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์นักพรตในคณะกาปูชิน การปฏิบัติศาสนกิจของท่านโดดเด่นด้วยการสวดภาวนาและความศรัทธา ท่านได้รับความทุกข์ทรมานตลอดเวลา ท่านได้รับแผลของการตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้า และท่านได้รับความทุกข์ทรมานจากรอยแผลเหล่านั้น ท่านยังถูกปีศาจโจมตีด้วย ข้อความด้านล่างมาจากประสบการณ์ของคุณพ่อปีโอ ซึ่งสอนเราว่าความทุกข์ทรมานของเรามีคุณค่ามหาศาลเมื่อรวมกับพระมหาทรมานของพระผู้ช่วยให้รอดของเราและด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อไปนี้เป็นคำพูดของท่านเกี่ยวกับความทุกข์

 ยิ่งคุณทุกข์ทรมานมากเท่าไร พระเจ้าก็ยิ่งรักคุณมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อเราทุกข์ทรมาน พระเยซูจะอยู่ใกล้เรามากขึ้น  

 พายุที่กำลังโหมกระหน่ำรอบตัวคุณจะกลายเป็นความรุ่งโรจน์ของพระเจ้า, เป็นบุญกุศลของคุณเอง, และเพื่อประโยชน์ของวิญญาณมากมาย”

การเสียสละทุกอย่างและความดีทุกอย่างที่คุณได้ทำนั้นจะมุ่งตรงไปที่พระเจ้าเพื่อการชำระล้างบาปของทุกคน”  

การอุทิศตนอย่างแท้จริงและจริงจังประกอบด้วยการรับใช้พระเจ้าโดยไม่รับการปลอบประโลมใดๆ นี่หมายถึงการรับใช้และรักพระเจ้าเพื่อเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง”

ความเจ็บปวดที่แทบทนไม่ไหวเมื่ออยู่ในความทุกข์นั้นยังห่างไกลจากไม้กางเขนมากนัก แต่เมื่อได้มอบความเจ็บปวดจากความทุกข์ให้เข้าใกล้ไม่กางเขนของพระเยซูเจ้าแล้ว มันช่างให้ความอ่อนหวานยิ่งนัก  

ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะรักพระเยซูอย่างจริงจัง สิ่งนี้จะขับไล่ความกลัวทั้งหมดออกไปจากหัวใจของเราแล้ววิญญาณจะพบว่าแทนที่จะเป็นการเดินไปในหนทางของพระเยซู,มันกลายเป็นการบินไป  

- คุณพ่อปีโอ  

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คุณพ่อปีโอขับไล่ปีศาจ


เมื่อสตรีคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจเข้าสิงบุกเข้าไปในซานโจวันนี คุณพ่อปีโอเดินเข้าไปหาเธออย่างใจเย็นและสามารถขับไล่ปีศาจนั้นออกไปได้

 นักบุญคุณพ่อปีโอ มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างพิเศษ ทำให้ท่านสามารถกระทำอย่างใจเย็นได้เมื่อปีศาจพยายามทำให้ท่านกลัว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และในบางครั้ง ผู้ที่โดนผีสิงก็จะเข้าไปในโบสถ์ที่ซานโจวันนี รอตตันโด 

 ผู้เขียน C. Bernard Ruffin เล่าเรื่องต่อไปนี้ในหนังสือของเขา Padre Pio: The True Story 

การรักษาอาการถูกปีศาจสิง 

ตามที่ Ruffin เล่า "คุณพ่อ John Schug (1928–2002) เมื่อเขาสัมภาษณ์พระสงฆ์อาวุโสที่ซานโจวันนีไม่กี่ปีหลังจากการเสียชีวิตของคุณพ่อปีโอ, ได้ยินมาว่ามีสตรีคนหนึ่งที่ดูไม่เพียงแต่มีปัญหาทางจิตเท่านั้น ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว และดวงตาของเธอมีประกายแวววาวจนผู้คนเริ่มวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว 'ฉันเป็นเจ้าของโบสถ์แห่งนี้!' เธอกรีดร้อง 

เมื่อหญิงคนนั้นเห็นรูปของนักบุญไมเคิล อัครทูตสวรรค์ เธอพูดว่า “แกไม่ได้ชนะ ข้าชนะ!” 

เธอก่อความวุ่นวายขึ้นในโบสถ์จนดึงดูดความสนใจของคุณพ่อปีโอ ซึ่งกำลังฟังสารภาพบาปอยู่ 

ท่านออกจากห้องสารภาพบาปและผู้ดูแลโบสถ์ก็ขอร้องให้ท่านอย่าไป คุณพ่อปีโอตอบว่า “อย่ากลัว...เรากลัวปีศาจตั้งแต่เมื่อไร” 

คุณพ่อปีโอเดินเข้ามาหาเธอและพูดว่า “ออกไปจากที่นั่น!” 

เธอเริ่มวิงวอนคุณพ่อปีโอว่า “อย่าส่งข้าออกไปเลย อย่าส่งข้าออกไปเลย!” 

ท่านบอกให้เธอไปนั่งรอที่นั่นจนกว่าท่านจะฟังสารภาพบาปเสร็จ 

[จากนั้น] ท่านพบว่าผู้หญิงคนนั้นนั่งเงียบๆ ท่านจึงพาเธอไปที่ห้องสารภาพบาป เมื่อเธอออกจากห้องสารภาพบาป “ใบหน้าของเธอเหมือนทูตสวรรค์” 

 นักบุญคุณพ่อปีโอ เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในพลังของการสารภาพบาป และแม้กระทั่งทุกวันนี้ พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจยังคงแนะนำให้สารภาพบาปบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พลังของซาตานมีอิทธิพลต่อบุคคลใดๆ