พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024 พระเยซูเจ้าทรงเป็นเถาองุ่นแท้

           เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิดเพื่อให้เกิดผลมากขึ้น ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้วเพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เราดำรงอยู่ในท่าน กิ่งองุ่นเกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำรงอยู่ในเราฉันนั้น เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้านและจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟและถูกเผา ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในเรา และวาจาของเราดำรงอยู่ในท่าน ท่านอยากได้สิ่งใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์เมื่อท่านเกิดผลมากและกลายเป็นศิษย์ของเรา
(ยอห์น 15:1-8)








วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทภาวนาสองบทที่คล้ายกัน

บทข้าแต่พระบิดา  และ บทวันทามารีย์  เป็นบทภาวนาสองบทที่มีผู้สวดมากที่สุด  ทุกๆวันจะมีผู้สวดภาวนาสองบทนี้เป็นพันล้านครั้งในทุกประเทศทั่วโลก  ที่บ้าน  ที่โบสถ์ และสถานที่ต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสวดสายประคำ  สายประคำหนึ่งสาย  จะมีการสวดบทข้าแต่พระบิดา 6 ครั้ง และบทวันทามารีย์ 53 ครั้ง  บทภาวนาทั้งสองมีโครงสร้างที่คล้ายกัน คือ แบ่งเป็นสองภาค  และในแต่ละภาคก็มีลักษณะคล้ายกันด้วย
บทข้าแต่พระบิดา
ภาคแรก
เป็นการสรรเสริญพระเป็นเจ้า  เรากล่าวว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย  พระองค์สถิตในสวรรค์  พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ  พระอาณาจักรจงมาถึง  พระประสงค์จงสำเร็จไปในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ “  เราสรรเสริญพระองค์ว่าทรงเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุด  เรารู้สึกปลื้มปิติยินดีที่พระองค์ทรงเป็นบิดาของเรา  ดังนั้นเราปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์  นั่นคือให้อาณาจักรของพระองค์จงมาถึง  และให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จไปเพื่อแผ่นดินจะได้มีความสุข
ภาคที่สอง
         เป็นการถ่อมตนและขออภัย  เรากล่าวว่า “โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น”
          และเป็นการวอนขอ  เราวอนขอสองอย่างคือ “โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ “  และ “โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญ  แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ”  เราวอนขอในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์และพระองค์เป็นบิดาของเรา  โดยการขอให้พระองค์เลี้ยงดูเราและช่วยปกป้องเราให้พันจากภัยอันตราย  เรายังขอให้พระองค์อภัยความผิดแก่เราเมื่อเราทำความผิดด้วย
บทวันทามารีย์
ภาคแรก
เป็นการสรรเสริญแม่พระ  เรากล่าวว่า “วันทามารีย์ เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน  พระเจ้าสถิตกับท่าน  ผู้ได้รับพระพรกว่าหญิงใดใด และพระเยซูโอรสของท่านทรงได้รับพระพรยิ่งนัก“  เมื่อเรากล่าวสรรเสริญแม่พระ  เรารู้สึกปลื้มปิติยินดีที่แม่พระทรงได้รับพระเกียรติ  และเราได้ทำให้คำทำนายของแม่พระสำเร็จไป  คือ “แต่นี้ไปมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยจะเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นผู้มีบุญ”  แม่พระทรงมีบุญ  มีโชควาสนาที่ได้เป็นมารดาของพระเป็นเจ้า
ภาคที่สอง
         เป็นการถ่อมตนและวอนขอ เรากล่าวว่า “สันตะมารีย์มารดาพระเจ้า  โปรดภาวนาเพื่อลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาป  บัดนี้และเมื่อจะตาย”  เราถ่อมตนยอมรับว่าเป็นคนบาปและขอให้แม่พระทรงวอนขออภัยจากพระบิดาแทนเรา  เหมือนเช่นเด็กที่มาพึ่งแม่เมื่อทำความผิด  ขอให้แม่พูดกับพ่อแทนตนเอง  เรามีความวางใจในแม่พระในฐานะมารดาของเรา  เราไม่ได้ขอให้แม่พระอภัยบาปของเรา  เพราะมีแต่พระเป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้อภัยบาปได้
            บทภาวนาทั้งสองบทนี้เป็นบทภาวนาที่สวยงามที่สุด  และมีความหมายมากที่สุด  เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปในรายละเอียด  ยังสามารถพิจารณาได้อีกหลายประเด็น  ซึ่งเราควรนำไปไตร่ตรองด้วยตนเอง  ขอให้เราสวดภาวนาทั้งสองบทนี้ทุกวัน  บ่อยๆ  และสวดอย่างดี  ให้เรารักบทภาวนาทั้งสองบทนี้เหมือนเป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า  เพราะเป็นบทภาวนาที่นำพระพรมาให้แก่เรา   ทำให้เราปลื้มปิติยินดี  และทำให้เราได้อยู่ใกล้ชิดพระเป็นเจ้าและแม่พระ  นักบุญออกุสติน กล่าวว่า  “ผู้ที่สวดภาวนาจะได้รอด  ผู้ที่ไม่สวดภาวนาจะถูกสาปแช่ง  ผู้ที่สวดภาวนแต่น้อยก็มีความเสี่ยงต่อความรอดพ้นของเขา”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น