พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2025 จงเข้าทางประตูที่แคบ

          พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและทรงเดินทางมุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม คนคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า มีคนน้อยคนใช่ไหมที่รอดพ้นได้’ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า ‘จงพยายามเข้าทางประตูแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้ ‘เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นเพื่อปิดประตู ท่านจะยืนอยู่ข้างนอก เคาะประตูพูดว่า “พระเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย” แต่เขาจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด” แล้วท่านก็จะพูดว่า “พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา” แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดไปให้พ้นจากเราเถิด เจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า”
(ลูกา 13:22-30)








วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เด็กที่ฝากผลงานไว้ให้โลก4

Claudette Colvin
ฉันจะไม่ลุก เพื่อรักษาสิทธิของความเท่าเทียมกันของมนุษย์



คุณกล้าที่จะต่อสู้กับสิ่งผิดๆ ในสังคมเห็นเป็นเรื่องปรกติหรือไม่?
เรื่องราวของ Claudette Colvin เด็กสาวผิวสีอายุเพียง 15 ปี ในสหรัฐอเมริกา นั่งรถบัสกลับบ้านตามปรกติ ซึ่งในยุคนั้น สิทธิของคนผิวดำมีน้อยมาก เรียกได้ว่าเป็นคนละชนชั้นกับคนผิวขาวเลย ทั้งการจำกัดอาชีพ บริการสาธารณะต่างๆ หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Help จะยิ่งเห็นภาพ เช่นการแบ่งห้องน้ำระหว่างเจ้านายผิวขาวและลูกจ้างผิวสี รวมถึงการขึ้นรถบัสประเภทหนึ่งคือรถบัสแบ่งแยกสีผิว ที่มีกฏว่าคนผิวสีจะต้องลุกให้คนผิวขาวนั่ง แม้จะมานั่งก่อนก็ตาม ซึ่งคงมองกันว่าเป็นกฏที่ปรกติธรรมดาในสมัยนั้น
แต่ Colvin ไม่คิดเช่นนั้น
เธอปฏิเสธและยืนกรานที่จะไม่ปฏิบัติตามกฏนั้น เธอไม่ลุกให้คนผิวขาวนั่ง ซึ่งการปฏิเสธเช่นนี้ทำให้ต้องถูกดำเนินคดี แต่เธอก็ต่อสู้คดีจนถึงศาลสูงสุด
การต่อสู้ของเธอสำฤทธิ์ผล.. ในที่สุดศาลก็มีคำสั่งให้ ยกเลิกรถบัสแบ่งแยกสีผิว จะต้องไม่มีการให้คนผิวใดลุกให้คนผิวใดอีก นี่เป็นดั่งจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งที่นำไปสู่แรงกระเพื่อมทางสังคม และมีเหตุการณ์ต่างๆ อีกมากมายหลังจากนั้น จนนำไปสู่ค่านิยมการไม่แบ่งแยกผิวสีและเชื้อชาติตราบจนทุกวันนี้ จากคำปฏิเสธเล็กๆ ของเด็กสาวอายุ 15 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น