พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2025 สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า

         & ประชาชนรู้จึงติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสสอนเขาเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า ทรงรักษาคนที่ต้องการการบำบัดรักษา เมื่อจวนถึงเวลาเย็น อัครสาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนกลับไปเถิด เขาจะได้ไปตามหมู่บ้านและชนบทโดยรอบเพื่อหาที่พักและอาหาร เพราะขณะนี้เราอยู่ในที่เปลี่ยว” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรนอกจากขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวเท่านั้น หรือว่าเราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนเหล่านี้ทั้งหมด” ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณห้าสิบคน” เขาก็ทำตามและให้ทุกคนนั่งลง พระเยซูเจ้าทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ส่งให้บรรดาศิษย์นำไปแจกจ่ายแก่ประชาชน ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้สิบสองกระบุง
(ลูกา 9:11-17)








วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ร่วมพิธีมิสซา


มาร่วมพิธีมิสซาด้วยตัวของท่านเองเถิด  อย่ารอให้คนอื่นเป็นผู้นำท่านมาร่วมพิธีเลย 
“มิสซาเพียงมิสซาเดียวที่คนหนึ่งมีส่วนร่วมในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่,มีค่ามากกว่ามิสซาพันครั้งที่อุทิศให้เขาหลังจากที่เขาตายไปแล้ว” 
– นักบุญอังแซล์ม( St.Anselm) 

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

สาส์นแม่พระ 25 ก.พ. 2024

สาส์นแม่พระประทานแก่ มารีจา 25 ม.ค. 2023
ลูกที่รักทั้งหลาย
          จงสวดภาวนาและฟื้นฟูจิตใจของลูกเสียใหม่ เพื่อที่ความดีที่ลูกได้หว่านไว้จะได้บังเกิดผลแห่งความชื่นชมยินดีและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เมล็ดข้าวละมานได้ยึดครองจิตใจของคนจำนวนมากและพวกเขาก็ไม่บังเกิดผล ลูกน้อยทั้งหลาย,นั่นคือเหตุผลที่แม่ขอให้ลูกเป็นแสงสว่าง,เป็นความรัก, และเป็นมือของแม่ที่เหยียดออกไปในโลก,มือซึ่งปรารถนาพระเจ้า,ผู้ทรงเป็นความรัก     
          ขอขอบใจที่ตอบสนองเสียงเรียกของแม่           
            

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ขบวนการสงฆ์ของม่พระ


เนื่องจากการแพร่กระจายของข้อผิดพลาดเหล่านี้ หลายคนจึงหันเหออกจากความเชื่อที่แท้จริง
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พระเยซูทรงถูกโบยตี


“พระวรกายของพระเยซูสั่นสะท้านขณะที่ยืนอยู่หน้าเสา และทรงถอดฉลองพระองค์ออกโดยเร็วที่สุด แต่พระหัตถ์ของพระองค์มีเลือดและบวม สิ่งที่พระองค์ทรงทำเมื่อทหารผู้โหดเหี้ยมชกและดูหมิ่นพระองค์คือการสวดภาวนาเพื่อพวกเขาด้วยท่าทางที่น่าประทับใจที่สุด พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปทางพระมารดาครั้งหนึ่ง,พระมารดาซึ่งยืนหยัดด้วยความโศกเศร้า ท่าทางนี้ทำให้พระนางทรงตกพระทัยมาก พระนางทรงเป็นลมและคงจะล้มลงหากไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่นั่นคอยประคองพระนาง พระเยซูทรงโอบพระหัตถ์รอบเสา และเมื่อยกพระหัตถ์ขึ้นแล้ว เขาก็ยึดพระหัตถ์ไว้กับห่วงเหล็กซึ่งอยู่บนยอดเสา จากนั้นพวกเขาก็ลากแขนของพระองค์ขึ้นไปให้สูงจนพระบาทซึ่งผูกติดกับฐานเสาแทบแตะพื้นไม่ได้ เช่นนี้แหละที่พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดถูกขึงดึงอย่างโหดเหี้ยมบนเสาที่ใช้ลงโทษอาชญากร จากนั้นคนพาลสองคนที่เกรี้ยวกราดกระหายเลือดก็เริ่มต้นกระทำในลักษณะที่ป่าเถื่อนที่สุดด้วยการเฆี่ยนตีร่างกายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่หัวจรดเท้า” 
 —บุญราศี อันนา คัทรีน เอมเมอริก(Bl. Anne Cathrine Emmerich), 
 จากพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า(The Dolorous Passion of Our Lord Jesus Christ p. 218-219) 

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พระเมตตายิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า


วันศุกร์ที่ 19 มกราคม อ้อนวอนขอพระเมตตา 
ผลลัพท์ของการอ้อนวอน 
(ไดอารี่, 640): ในวันศุกร์แรกของเดือน, ก่อนการรับศีลมหาสนิท, ฉันเห็นผอบใบใหญ่(ciborium)ที่เต็มไปด้วยแผ่นศีล มีมือหนึ่งถือผอบอยู่ตรงหน้าฉัน และฉันก็รับผอบมาไว้ในมือ มีแผ่นศีลที่มีชีวิตนับพันอยู่ข้างใน แล้วฉันก็ได้ยินเสียงว่า เหล่านี้คือแผ่นศีลซึ่งบรรดาวิญญาณได้รับไป,คือวิญญาณที่ลูกวอนขอพระหรรษทานแห่งการกลับใจอย่างแท้จริงแก่พวกเขาในช่วงมหาพรตนี้ นั่นคือหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ 
(ไดอารี่ 928): ทันใดนั้น ฉันก็เห็นพระเยซูเจ้า, ผู้ทรงโอบฉันไว้กับดวงพระทัยของพระองค์ และตรัสกับฉันว่า ลูกสาวเอ๋ย, อย่าร้องไห้เลย, เพราะเราไม่สามารถทนน้ำตาของลูกได้ เราจะให้ทุกสิ่งที่ลูกวอนขอ แต่หยุดร้องไห้เถิด, แล้วฉันก็เปี่ยมด้วยความยินดีอย่างยิ่ง, และจิตวิญญาณของฉันก็จมอยู่ในพระองค์เหมือนเช่นสมบัติเพียงชิ้นเดียวของพระองค์

วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ปีศาจล่อลวงเราอย่างไร


ปีศาจล่อลวงเราโดยอาศัยความอ่อนแอของเรา มันพยายามเบี่ยงเบนจิตใจของเรา  ปีศาจล่อลวงเราโดยอาศัย”จินตนาการ”ของเราเอง,ซึ่งทำให้มันสามารถปรับอารมณ์ของเราให้คล้อยตามมัน  มันล่อลวงในเรื่องของอาหาร, ความหลงในความสามารถของตัวเอง, ความอยากมีชื่อเสียง ร่ำรวย มีอำนาจ ความพอใจทางเนื้อหนัง และเราสร้างมโนภาพขึ้นด้วย”จินตนาการ”ของเราเอง ว่าเราได้รับสิ่งเหล่านี้อย่างไร ปีศาจค่อยๆเคลื่อนไหวจิตใจของเราให้คล้อยตามมัน  ถ้าหากเราทำตามอารมณ์ของเรา ก็พูดได้ว่าเรากำลังอยู่ภายใต้การนำทางของปีศาจ   เพราะฉะนั้น,เราจึงต้องรู้ตัวอยู่เสมอ...เมื่อเกิดความคิดในเรื่องเหล่านี้ เราต้องรีบปฏิเสธมันทันทีและสวดภาวนาจนกว่าอารมณ์และจินตนาการเหล่านี้จะหมดไป 
เพราะฉะนั้น,ในทางด้านชีวิตจิต บรรดานักบุญจึงเตือนเราอย่าได้กระทำสิ่งใดโดยอาศัยพื้นฐานจากอารมณ์ และให้ดำเนินชีวิตโดยอาศัยเหตุผลและการส่องสว่างของความเชื่อ 
“ใครคือคนที่จะถูกปีศาจล่อลวงมากที่สุด?” 
นักบุญยอห์นมารีเวียนเนย์ เจ้าอาวาสแห่งอารส์ กล่าวว่า บางที เราอาจคิดว่า คือคนที่ ดื่มเหล้าเป็นนิจ ประพฤติผิดศีลธรรมโดยไม่ละอายแก่ใจ ฯลฯ .... ตรงกันข้าม , ปีศาจไม่สนใจคนพวกนี้เลย เพราะพวกเขามีเวลาในการทำความชั่วอยู่ไม่นานหรอก การที่พวกนี้มีชีวิตยืนยาวจะช่วยชักนำวิญญาณอื่นไปสู่นรกได้มากขึ้น. 
คนที่ถูกประจญล่อลวงมากที่สุด คือ คนดี ที่อยู่ในศีลในพรของพระเป็นเจ้า ผู้ที่ยอมสละทุกสิ่งเพื่อความรอดของวิญญาณ ผู้ที่ปฏิเสธสิ่งต่างๆที่คนส่วนมากแสวงหา และคนที่ตั้งใจจะกลับใจเป็นคนดีนั่นแหละ