พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2025 เทศกาลเตรียมรับเสด็จ อาทิตย์ที่ 4

          เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์ พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรมไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบ ๆ ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระจิตเจ้า นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชากรของเขาให้รอดพ้นจากบาป” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นความจริงว่า หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชายซึ่งจะได้รับนามว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา” เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับภรรยามาอยู่ด้วย
(มัทธิว.1:18-24)








วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ดวงดาวดวงนั้น


คำกล่าวของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เนื่องในโอกาสเปิดตัวหนังสือ "คริสต์มาส ณ วันประสูติ" (27 กันยายน2023) ยังคงก้องอยู่ในใจ:

มีดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน แต่ท่ามกลางดวงดาวเหล่านั้น มีดวงดาวพิเศษดวงหนึ่งที่โดดเด่น ดวงดาวที่กระตุ้นให้โหราจารย์ออกจากบ้านและเริ่มต้นการเดินทาง การเดินทางที่จะนำพวกเขาไปยังที่ที่พวกเขาไม่รู้จัก ในชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาหนึ่ง ดวงดาวพิเศษบางดวงจะเชื้อเชิญเราให้ตัดสินใจ เลือก และเริ่มต้นการเดินทาง เราต้องอธิษฐานขอพระเจ้าอย่างแรงกล้าให้ทรงแสดงดวงดาวดวงนั้นแก่เรา ดวงดาวที่จะดึงดูดเราไปสู่สิ่งที่มีความหมายมากกว่านิสัยเดิมๆ เพราะดวงดาวดวงนั้นจะนำเราไปสู่การพิจารณาถึงพระเยซู พระกุมารผู้ทรงประสูติในเบธเลเฮมและผู้ทรงปรารถนาความสุขที่สมบูรณ์แก่เรา


และในจดหมายอัครสมณทูตADMIRABILE SIGNUMลงวันที่ 1 ธันวาคม 2019 พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเตือนเราว่า

พี่น้องที่รัก ฉากประสูติของพระเยซูเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอันล้ำค่าแต่ก็ท้าทายในการส่งต่อความเชื่อเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กและในทุกช่วงชีวิตของเรา ฉากประสูตินี้สอนให้เราพิจารณาถึงพระเยซู สัมผัสถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา รู้สึกและเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา และเราก็อยู่กับพระองค์ เป็นบุตรธิดา พี่น้องทั้งหลายของพระองค์ ด้วยพระคุณของพระกุมารผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้าและพระบุตรของพระแม่มารีย์ และตระหนักว่าในความรู้เช่นนั้นเราพบความสุขที่แท้จริง เช่นเดียวกับนักบุญฟรานซิส ขอให้เราเปิดใจรับพระคุณอันเรียบง่ายนี้ เพื่อว่าจากความอัศจรรย์ใจของเราจะเกิดเป็นคำอธิษฐานที่อ่อนน้อมถ่อมตน คำอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงประสงค์จะแบ่งปันทุกสิ่งของพระองค์กับเรา และไม่ทรงทอดทิ้งเราไว้ลำพัง (หน้า 16)


***
# Faith 😊🙏🩵

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568

รูปแพนโทเครเตอร์


The Pantocrator (แพนโทเครเตอร์)นั้นสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่ได้เห็นมาอย่างยาวนาน ... ยิ่งมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแปลกตามากขึ้นเท่านั้น

ในปี 1938 นักประวัติศาสตร์ศิลปะสองคนเริ่มจัดทำรายการไอคอนที่อารามเซนต์แคทเธอรีนในซีนาย เมื่อพวกเขาเผยแพร่ผลการศึกษา หนึ่งในไอคอนที่พวกเขาสนใจคือรูปพระเยซูคริสต์แพนโทเครเตอร์ หรือพระเยซูคริสต์ผู้ปกครองทุกสิ่ง พวกเขากำหนดอายุของไอคอนนี้ไว้ว่ามีอายุเก่าแก่มากในศตวรรษที่ 13

สร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคศิลปะแบบไบแซนไทน์โบราณ ทำจากขี้ผึ้งเคลือบบนแผ่นไม้ ซึ่งเป็นวัสดุที่ช่วยให้มีอายุเก่าแก่มาก เชื่อกันว่าเดิมทีสร้างขึ้นในกรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรูปเคารพของพระเยซูคริสต์ที่เก่าแก่กว่าซึ่งพบที่ประตูหลักของพระราชวัง และน่าจะถูกนำมาถวายที่อารามเป็นของขวัญจากจักรพรรดิจัสติเนียน ผู้ก่อตั้งอาราม

พระพักตร์แพนโทเครเตอร์สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่ได้เห็นมาอย่างยาวนาน ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา พระพักตร์ของพระเยซูยังคงมีความสม่ำเสมออย่างน่าทึ่งในรูปลักษณ์ที่ปรากฏ ซึ่งบ่งชี้ว่าพระพักตร์ของพระองค์นั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่ได้ถูกแต่งขึ้นหรือจินตนาการขึ้นเอง เนื่องจากความสม่ำเสมอของขนบธรรมเนียมทางศิลปะ จึงมีโอกาสสูงมากที่ภาพเขียนเช่นแพนโทเครเตอร์จะพรรณนาพระพักตร์ของพระเยซูที่แท้จริงตามที่เหล่าสาวกเห็น (ลองเปรียบเทียบแพนโทเครเตอร์กับภาพบนผ้าห่อพระศพแห่งตูริน)

ความแปลกประหลาดประการแรกคือ “การจ้องมองสองข้าง” ของพระเยซูเจ้า นี่ไม่ใช่เทคนิคการสร้างภาพสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จัก แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเห็นในภาพวาดสมัยใหม่

โดยพื้นฐานแล้ว ภาพนี้ถูกแบ่งครึ่ง และพระพักตร์ถูกแบ่งตรงกลาง ลักษณะของใบหน้าทั้งสองข้างมีความแตกต่างกันอย่างละเอียดอ่อน ซึ่งมองเห็นได้ง่ายที่สุดจากความแตกต่างของพระเนตรของพระคริสต์ การสร้างภาพสะท้อนในกระจกเผยให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างแท้จริงของพระพักตร์ทั้งสองข้างของพระองค์ การจ้องมองสองข้างเป็นผลงานศิลปะที่จงใจถ่ายทอดธรรมชาติทั้งสองของพระคริสต์ ด้านซ้ายแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ และด้านขวาแสดงถึงธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยื่นมือแห่งพระพรออกไปยังผู้ชม เป็นธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ที่ถือพระคัมภีร์และมีพระพักตร์ของผู้พิพากษา ภาพนี้ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ในชีวิตของพระเยซู ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อบอกเล่าเรื่องราว

# Faith 😊🙏🩵

..

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568

จงมีใจสงบเสมอ


“พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ผู้ที่ก้าวเข้าไปอยู่ในความสงบและความถ่อมตนในหัวใจของเขา หากท่านมองลงไปในน้ำที่มืดมนและปั่นป่วน ท่านจะไม่สามารถเห็นภาพสะท้อนของใบหน้าของท่านได้ ถ้าท่านต้องการเห็นพระพักตร์ของพระคริสต์ จงหยุดและรวบรวมความคิดของท่านในความเงียบและปิดประตูแห่งวิญญาณของท่านต่อเสียงรบกวนของสิ่งภายนอก”

— นักบุญแอนโทนีแห่งปาดัว

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ผู้ใดที่พูดผ่านบรรดาประกาศก 3


หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์ได้ทรงส่งพระจิตมายังพระศาสนจักรเพื่อสานต่องานการตีความหมายนี้ พระจิตองค์เดียวกันที่ตรัสผ่านทางบรรดาบรรดาประกาศก ทรงดลใจอัครสาวกและสหายให้เขียนคำสอนของพระคริสต์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ดังที่พระวรสารนักบุญยอห์นเตือนเราไว้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะถ่ายทอดความลึกล้ำของการเปิดเผยของพระคริสต์ได้อย่างครบถ้วน “ยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น” (ยน. 21:25)

วิธีหนึ่งที่พระจิตทรงสอนเราผ่านทางประกาศกในปัจจุบัน คือผ่านพิธีกรรมของพระศาสนจักร ในบทสวด บทภาวนา และบทอ่านในพิธีมิสซา เราพบถ้อยคำและแนวคิดจากพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำเราเข้าสู่ความลึกลับของพระคริสต์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

พระจิตตรัสคำเหล่านี้ผ่านทางผู้ประพันธ์เพลงสดุดีผู้ทำนาย และตรัสอีกครั้งโดยทรงนำพระศาสนจักรให้เลือกคำเหล่านี้สำหรับพิธีกรรม

ยกตัวอย่างเช่น ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ถ้อยคำแรกที่เราได้ยินในพิธีมิสซามาจากบทสดุดีบทหนึ่งที่ว่า “เรากลับเป็นขึ้นมาแล้ว และเรายังคงอยู่กับพวกท่าน” พระจิตตรัสถ้อยคำเหล่านี้ผ่านผู้ประพันธ์บทสดุดี ประกาศก และตรัสอีกครั้งโดยทรงนำพระศาสนจักรให้เลือกบทสดุดีเหล่านี้สำหรับพิธีกรรม เมื่อเราขับร้องถ้อยคำเหล่านี้ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ แรงบันดาลใจของพระจิตยังคงดังก้องอยู่ ช่วยให้เราเข้าใจว่าบทสดุดีนี้เป็นคำพยากรณ์ถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ผ่านถ้อยคำพยากรณ์นี้ เราได้ยินพระเยซูตรัสกับเราด้วยพระสุรเสียงของพระองค์เอง ทรงรับรองกับเราไม่เพียงแต่ว่าพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากบรรดาผู้ตายเท่านั้น แต่พระองค์ยังคงอยู่กับเราในศีลมหาสนิทด้วย

คริสตชนในปัจจุบันไม่ได้คาดหวังคำพยากรณ์ใหม่ๆ อีกต่อไป พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองอย่างสมบูรณ์แล้วโดยการตรัสพระวจนะของพระองค์ ผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยพระจิต แต่เราคาดหวังและมั่นใจว่าจะได้รับการทรงนำและการดลใจอย่างต่อเนื่องจากพระจิตในความพยายามที่จะเข้าถึงความลึกลับแห่งการเปิดเผยของพระเจ้า โดยการเข้าร่วมพิธีกรรมของพระศาสนจักร การอ่านพระคัมภีร์ และการใช้เวลาอธิษฐานส่วนตัว เราได้รับการเชื้อเชิญให้รับของประทานและการทรงนำจากพระจิตอย่างต่อเนื่อง

ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงส่งพระจิตของพระองค์มาและทรงฟื้นฟูแผ่นดินโลกด้วยเทอญ!

# Faith 😊🙏🩵

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ผู้ใดที่พูดผ่านบรรดาประกาศก 2


หนึ่งในข้อความที่ผมชอบที่สุดจากบทข้าพเจ้าเชื่อคือเรื่องเกี่ยวกับพระจิต เมื่อเรากล่าวว่าพระองค์ “ตรัสผ่านทางบรรดาประกาศก” แม้จะดูสั้นกระชับ แต่ถ้อยคำเหล่านี้กลับเป็นถ้อยคำที่ยืนยันว่าพันธสัญญาเดิมยังคงมีความสำคัญสำหรับเรา แม้จะผ่านมาหลายพันปีแล้วหลังจากที่ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกแก่ชาวยิว

ในยุคแรกของศาสนาคริสต์ มีบางคนปฏิเสธคุณค่าของข้อเขียนเหล่านี้ โดยคิดว่าพันธสัญญาใหม่คือทั้งหมดที่เราต้องการ คริสตชนบางคนในปัจจุบันก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจซ่อนอยู่ภายใต้แนวคิดที่คลุมเครือว่า “พระเจ้าแห่งพันธสัญญาเดิม” แต่เมื่อเรากล่าวว่าพระจิตเจ้าตรัสผ่านทางบรรดาประกาศก เราก็เตือนใจตัวเองว่าข้อเขียนเหล่านี้ยังคงสอนเรา หากเรายอมให้พระจิตที่ทรงเคยดลใจพวกเขาตั้งแต่แรกสอนเรา

บนเส้นทางไปเอมมาอูส พระเยซูเริ่มสอนพระศาสนจักรถึงวิธีเข้าใจคำพยากรณ์ของพระจิต

““เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศกกล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟัง โดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก (ลูกา 24:25-27)

# Faith 😊🙏🩵

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ผู้ใดที่พูดผ่านบรรดาประกาศก 1


ในบทข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า,ทุกคำพูดเป็นการดลใจจากพระจิตเจ้า

เมื่อเราสวดบทข้าพเจ้าเชื่อในพิธีมิสซาวันอาทิตย์ เรามักจะปล่อยให้ถ้อยคำไหลผ่านปากของเราราวกับเสียงน้ำไหลเอื่อยของลำธาร แต่หากเราตั้งใจพินิจพิจารณา ความจริงที่เรากล่าวประกาศจะเริ่มดูเหมือนน้ำตกที่ไหลเชี่ยวกราก วลีแต่ละวลีในบทข้าพเจ้าเชื่อได้ถูกพิจารณา โต้แย้ง ไตร่ตรอง และปรับแต่งอย่างละเอียดตลอดหลายศตวรรษแรกของพระศาสนจักร ไม่มีคำใดเลยที่ผิดหรือเป็นผลจากความบังเอิญ

เมื่อเราปล่อยให้จิตใจดื่มด่ำกับถ้อยคำที่เราพูด จะมีข้อคิดอันน่าทึ่งรอเราอย่างอดทน ด้วยความช่วยเหลือจากพระจิตเจ้า ผู้ทรงเตือนเราถึงสิ่งที่พระคริสต์ทรงสอน และทรงช่วยให้เราเข้าใจความจริงอันสมบูรณ์นั้น เราจะพบความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในถ้อยคำเหล่านี้เสมอ

แม้จะดูเป็นคำพูดที่กระชับ แต่คำเหล่านี้กลับเป็นคำพูดที่ยืนยันถึงความจริง



# Faith 😊🙏🩵

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568

หัวใจของซิสเตอร์ลูซีอา


ซิสเตอร์ลูซึอาแห่งฟาติมา (ซ้าย) และ ดร. บรันกา เปเรย์รา อาเซเวโด แพทย์ประจำตัวของเธอมานาน 15 ปี

“ฉันเป็นหมอรักษาด้านร่างกายของเธอ แต่เธอเป็นหมอรักษาด้านจิตวิญญาณของฉัน” ดร. บรันกา เปเรย์รา อาเซเวโด กล่าวขณะอธิบายความสัมพันธ์ของเธอกับซิสเตอร์ลูซึอา ดอส ซานโตสหนึ่งในผู้เห็นแม่พระแห่งฟาติมา ซึ่งเธอได้ดูแลในช่วง 15 ปีสุดท้ายของชีวิตซิสเตอร์ลูซึอา

ลูซึอาซึ่งเป็นลูกคนเดียวในบรรดาพี่น้องคนเลี้ยงแกะทั้งสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ เวลานั้น ย้ายไปอยู่ที่เมืองตุย ในจังหวัดปอนเตเบดรา ประเทศสเปน ในปี 1925 และอาศัยอยู่ที่นั่นนานกว่าสิบปีก่อนจะกลับไปยังโปรตุเกสและปฏิญาณตนเป็นแม่ชีคณะคาร์เมไลต์ในปี 1949 ในเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปนแห่งนี้ ลูซึอาได้รับ “การมาเยือนครั้งใหม่จากสวรรค์” ด้วยการประจักษ์ของพระแม่มารีและพระเยซูกุมาร

นายแพทย์เปเรย์รา แพทย์ประจำตัวของเธอ ซึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์ของเธอเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2025 ในงานเปิดตัวภาพยนตร์สั้นเรื่อง “หัวใจของซิสเตอร์ลูซึอา” ที่บ้านพักของอาร์คบิชอปในเมืองอัลกาลา เด เอนาเรส ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นโครงการของสถานีโทรทัศน์ HM Television

เปเรย์ราได้อยู่กับซิสเตอร์ลูเซียที่อารามคาร์เมไลต์ในเมืองคอยมบรา ประเทศโปรตุเกส จนกระทั่งเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2548 เมื่ออายุ 97 ปี ในช่วงเวลานั้น เธอได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ด้วยแบบอย่างและพยานของคนไข้ของเธอ “มันเป็นช่วงเวลาในชีวิตของฉันที่ยากจะอธิบาย เนื่องจากความเข้มข้นของประสบการณ์ที่ฉันได้รับจากเธอ” แพทย์ชาวโปรตุเกสกล่าว

ความอ่อนน้อมถ่อมตนและอารมณ์ขันของซิสเตอร์ลูเซีย 
 “เธอเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเราทุกคน คนที่ไม่รู้จักเธอคงแยกไม่ออกว่าเธอแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร เธอไม่มีความเย่อหยิ่งหรือทะนงตนเลย เธอเคยพูดว่าเธอเป็นเพียงเครื่องมือของพระเจ้า” 
 เปเรย์รากล่าวว่าในช่วงเวลานั้น ความเชื่อของเธอเริ่มจางหายไป: “ฉันไม่ได้ไปโบสถ์ ไม่ได้เข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์...อาชีพ การงาน และครอบครัวของฉันใช้เวลาทั้งหมดของฉัน และฉันใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างที่จะไม่ไปโบสถ์” เธอกล่าวอธิบาย

ความสงบและความแน่วแน่ในยามยากลำบาก 
“เธอสอนฉันว่า ด้วยพระเจ้าและด้วยพระศาสนจักร เราสามารถทำทุกสิ่งได้ดี ฉันได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับเธอมาก ฉันคิดว่าใกล้ชิดกว่ากับซิสเตอร์ที่เธออาศัยอยู่ด้วยเสียอีก” คุณหมอกล่าว

หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดที่เธอได้ประสบร่วมกับซิสเตอร์ลูเซีย คือการตีพิมพ์ในปี 2000 โดยพระคาร์ดินัลแองเจโล โซดาโน เลขาธิการแห่งรัฐวาติกันในขณะนั้น ซึ่งเป็นส่วนที่สามของความลับแห่งฟาติมา ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 1917 แก่เด็กเลี้ยงแกะสามคนในโคว่า ดา อิเรีย และบันทึกโดยซิสเตอร์ลูเซียในปี 1944

“ที่อารามคาร์เมไลต์ เธอได้รับจดหมายดูหมิ่นมากมายจากทั่วทุกมุมโลก แต่เธอบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร เราต้องอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้น เพราะพวกเขาเป็นบุตรของพระเจ้า ขอให้พวกเขากลับใจ” เธอกล่าว

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “หัวใจของซิสเตอร์ลูซีอา” จะฉายรอบปฐมทัศน์ในภาษาสเปนทาง YouTube ในวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการปรากฏตัวของพระแม่มารีในเมืองปอนเตเบดรา เวลา 21:30 น. ตามเวลาท้องถิ่นในสเปน ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ยากลำบากของหญิงธรรมดาคนหนึ่ง “ที่กลายมาเป็นดวงประทีปส่องสว่างแก่พระสันตะปาปาและศาสนจักรทั้งหมด ดวงประทีปเหล่านี้จะส่องสว่างแก่มวลมนุษยชาติ”

#CATHOLIC # NEWS