พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2024 อาณาจักรพระเจ้าเปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ด

           เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้ ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว” พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้ พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเมื่อหว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน แต่ครั้นได้หว่านแล้วก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศมาพักอาศัยร่มเงาได้” พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้ พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น
(มาระโก 4:26-34)








วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์1

การจัดระเบียบใหม่ของยุโรป
ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียต ได้ก่อตั้งระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ในยุโรปตอนกลาง และยุโรปตะวันออก  การดำเนินชีวิตในสังคม การเมืองและเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเครืออาณานิคมฝั่งตะวันออกต่างยึดเอาสหภาพโซเวียตเป็นแบบอย่าง  กระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นจากการสร้างการผูกขาดทางการเมืองให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ การสร้างกองกำลังตำรวจรักษาความมั่นคง การใช้ระบบเซ็นเซอร์ และการควบคุมสื่อทุกประเภท ซึ่งสำคัญมากสำหรับการใช้โฆษณาชวนเชื่อ
สหภาพโซเวียตได้ทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก




โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อ   มีข้อความที่แปลว่า:  ‘Soviet Army, guardian of peace’ โปสเตอร์โฆษณา ตัวอักษรที่เขียน: 'กองทัพโซเวียตผู้พิทักษ์แห่งสันติภาพ'

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พลังอำนาจของการสวดภาวนา3

พลังอำนาจจากการสวดภาวนาของเรานั้น  เกิดจากพระเป็นเจ้าผู้ทรงฟังคำภาวนาของเรา  ใน 1ยอห์น 5:14-15 บอกเราว่า “ความมั่นใจของเราต่อพระเป็นเจ้ามีอยู่ว่า  ถ้าเราวอนขอสิ่งใดที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์  พระองค์จะทรงฟังเรา  และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังสิ่งที่เราวอนขอ ไม่ว่าเราจะวอนขอสิ่งใด  เราย่อมรู้ว่า เราจะได้รับตามที่เราวอนขอนั้น” เหตุนี้ ไม่ว่าผู้ใดจะวอนขอสิ่งใด ด้วยจุดประสงค์อันใด พระเป็นเจ้าจะทรงประทานตามวอนขอก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น พระองค์อาจไม่ประทานให้ตามที่เราวอนขอเสมอไป แต่จะทรงประทานให้เพื่อประโยชน์ที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับเรา  เมื่อความปรารถนาของเราสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ และเราจะเข้าใจเมื่อถึงเวลา  ดังนั้นเมื่อเราสวดภาวนาด้วยสุดหัวใจของเราวอนขอสิ่งที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า  พระองค์จะทรงตอบสนองคำภาวนาของเราอย่างแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ประธานาธิบดีสหรัฐกับเมดจูกอเรจ์


หลังจากท่านประธานาธิบดีได้อ่านจดหมายแล้วท่านพูดว่า เวลานี้ผมกำลังจะไปพบกับกอบาชอฟด้วยจิตใจใหม่”

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พลังอำนาจของการสวดภาวนา2


อย่าประเมินพลังอำนาจของการสวดภาวนาต่ำเกินไป  ยากอบ 5:16-18 กล่าวว่า “...คำภาวนาของผู้ชอบธรรมมีพลังอำนาจมากและมีประสิทธผล  เอลียาห์ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา  ท่านสวดาภาวนาด้วยสิ้นสุดจิตใจวอนขออย่าให้มีฝนตก  และฝนก็ไม่ตกบนแผ่นดินอิสราแอลเป็นเวลาสามปีครึ่ง  ท่านสวดภาวนาอีกครั้งหนึ่งและสวรรค์ก็ประทานฝนให้ตกลงมาทำให้แผ่นดินเกิดผลผลิตงอกงาม”  พระเป็นเจ้าทรงฟังคำภาวนาอย่างแน่นอนและทรงตอบสนองคำภาวนาเหล่านั้น
พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า “...เราบอกความจริงแก่ท่านว่า  ถ้าท่านมีความเชื่อเพียงเท่าเมล็ดมัสตาดเล็กๆ  ท่านจะสามารถย้ายภูเขา จากที่นี่ไปที่นั่น และมันก็จะย้าย  ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่าน” (มท. 17:20) และ 2 โครินทร์ 10:4-5 บอกเราว่า “อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลกนี้ ตรงกันข้าม  พวกมันเป็นอาวุธจากสวรรค์ที่ทำลายอำนาจของศัตรู  เราทำลายการโต้เถียงและการโอ้อวดทุกชนิดที่ต่อสู้กับความรู้ของพระเป็นเจ้า  และเราทำลายความสงสัยในความคิด ทำให้มันเชื่อฟังพระคริสตเจ้า”  พระคัมภีร์ยังกระตุ้นเตือนเราว่า “จงอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ  ขอพระจิตเจ้าทรงดลใจคำอธิษฐานวอนขอต่างๆทุกโอกาส  จงตื่นเฝ้า  อย่าท้อถอยที่จะวอนขอเพื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย” (อฟ. 6:18)

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พลังอำนาจของการสวดภาวนา


               นางมอนิกาสวดภาวนาเพื่อลูกชายคนเดียวของเธอที่ดำเนินชีวิตในบาปหนัก  เธอสวดภาวนาด้วยสุดจิตใจของเธอ  เฝ้าวิงวอนพระเป็นเจ้าโปรดดลใจในออกัสตินลูกชายกลับใจ  บางครั้งเธอสวดภาวนาไปร้องไห้ไป  พระเป็นเจ้าเป็นเพียงความหวังเดียวของเธอเท่านั้น  เพราะลูกชายไม่ฟังคำเตือนของเธอเลย  เธอสวดภาวนานานเป็นเวลาหลายปี  แล้วในที่สุด  ออกัสตินก็ได้พบแสงสว่างจากพระวาจาในพระคัมภีร์ซึ่งสะดุดใจของเขา 
                 วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงว่า “หยิบขึ้นอ่าน หยิบขึ้นอ่าน”  ออกัสตินจึงหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านและพบตอนที่เขียนว่า “ให้เราเดินไปอย่างซื่อสัตย์ในเวลากลางวัน  อย่าเอาแต่ดื้อดึงขัดขืนและดื่มจนเมามาย  อย่าเอาแต่เสเพลและทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ อย่าทะเลาะวิวาทกันและอิจฉาริษยากัน  แต่จงมอบตนเองไว้ในพระเยซูคริสตเจ้า  และละทิ้งสิ่งที่เป็นเรื่องของเนื้อหนังและกิเลสตัณหา”
“แสงสว่างเข้ามาเปี่ยมล้นหัวใจของข้าพเจ้า  และความมืดมิดและความสงสัยทั้งหลายก็สูญสิ้นมลายไป” ออกัสตินเขียนเล่าไว้ในเวลาต่อมา
จากคนบาปออกัสตินได้กลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่  พระศาสนจักรประกาศให้ท่านเป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักร  สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะคำภาวนาของนักบุญมอนิกาผู้เป็นมารดา
นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “พระเป็นเจ้าทรงรักเราแต่ละคน  ราวกับว่าพระองค์มีแต่เราเพียงคนเดียวเท่านั้น”

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อนุสาวรีย์คุณพ่อการ์โล


พิธีเล็กๆแต่อบอุ่นท่ามกลางลูก เชิญหีบบรรจุร่างของคุณพ่อการ์โล เดลลา โตร์เร
สู่อนุสาวรีย์แห่งความรัก....อนุสาวรีย์คุณพ่อการ์โล เดลลา โตร์เร
>>>อ่านต่อ