พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2025 เทศกาลเตรียมรับเสด็จ อาทิตย์ที่ 4

          เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์ พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรมไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบ ๆ ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระจิตเจ้า นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชากรของเขาให้รอดพ้นจากบาป” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นความจริงว่า หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชายซึ่งจะได้รับนามว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา” เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับภรรยามาอยู่ด้วย
(มัทธิว.1:18-24)








วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

พระศาสนจักรในทุกวันนี้เป็นพระศาสนจักรแห่งมรณสักขี



ในมิสซาของเช้าวันอังคารที่ 21 เม.ย. 2015 พระสันตปาปาฟรังซิสตรัสเกี่ยวกับการเบียดเบียนคริสตชน ซึ่งเข้ากับบทอ่านพระคัมภีร์ที่พูดถึงมรณสักขีองค์แรก  น. สตีเฟน แต่ก็มีหลายคนที่ปฏิเสธความเชื่อของเขา
พระดำรัสของพระสันตปาปาฟรังซิส
“ในทุกวันนี้  มีสตีเฟนสักกี่คนในโลก  ขอให้เราคิดถึงพี่น้องของเราที่ถูกตัดคอที่ชายหาดของประเทศลิเบีย ขอให้เราคิดถึงเด็กหนุ่มที่ถูกเผาทั้งเป็นโดยเพื่อนร่วมชาติของเขาเองด้วยสาเหตุที่เขาเป็นคริสตชน  ขอให้เราคิดถึงบรรดาผู้ลี้ภัยที่ถูกโยนจากเรือลงสู่ทะเลโดยผู้ลี้ภัยคนอื่นๆด้วยสาเหตุเพราะพวกเขาเป็นคริสตชน....และยังมีคนอื่นอีกมากมาย  คนอื่นๆที่เราก็ไม่อาจรู้ข่าวคราวของพวกเขาได้เพราะพวกเขาถูกคุมขังอยู่ในคุกด้วยสาเหตุที่พวกเขาเป็นคริสตชน...พระศาสนจักรทุกวันนี้เป็นพระศาสนจักรแห่งมรณสักขี  พวกเขารับทนทุกข์ทรมาน  พวกเขามอบชีวิตของพวกเขาและพวกเราก็ได้รับพระพรของพระเป็นเจ้าจากการเป็นพยานของพวกเขา”
พระสันตะปาปาเรียกร้องให้คริสตชนทั้งหลายร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกับคริสตชนเหล่านั้นที่ถูกเบียดเบียนเพราะความเชื่อของพวกเขา
 “พระวาจาของพระเป็นเจ้าถูกปฏิเสธจากคนบางกลุ่ม  พระวาจาของพระเป็นเจ้ากลายเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจเมื่อท่านมีหัวใจแข็งเป็นหิน  เมื่อท่านมีหัวใจของคนป่าเถื่อนไร้ศาสนา  เพราะพระวาจาของพระเป็นเจ้าเรียกร้องให้ท่านแบ่งปันแก่ผู้หิวโหยด้วยขนมปังซึ่งพระเยซูเจ้าตรัสถึง  ในประวัติศาสตร์ของการเผยแสดงให้เราทราบ  มีมรณสักขีจำนวนมากที่ถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อของพวกเขา  ความเชื่อและความสัตย์ซื่อต่อพระวาจาของพระเป็นเจ้า  อันเป็นสัจจธรรมของพระองค์”
พระสันตปาปาฟรังซิสทรงเปรียบเทียบความเป็นมรณสักขีของ น.สตีเฟนกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า “ท่านนักบุญก็เช่นเดียวกัน  ได้ตายพร้อมกับให้อภัยแก่ศัตรู และได้สวดภาวนาเพื่อศัตรูด้วย”
              พระสันตะปาปาตรัสว่า – “ผู้ที่เบียดเบียนบรรดาประกาศกเหล่านั้น พวกเขาเชื่อว่ากำลังให้เกียรติแด่พระเป็นเจ้า พวกเขาคิดว่าได้ทำตามพระบัญญัติที่แท้จริงของพระเป็นเจ้า”
“ในวันนี้  พ่อของเตือนว่า  ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของพระศาสนจักรนั้นคือประวัติบรรดานักบุญและมรณสักขี  ประวัติของคนจำนวนมากซึ่งถูกเบียดเบียนและถูกฆ่าโดยคนที่คิดว่าเป็นเจ้าของ “ความจริง” – คนที่หัวใจของเขาถูกทำให้ผิดเพี้ยนไปโดย “ความจริง” ของเขา
พระสันตะปาปาตรัสด้วยว่า “ยังมีคนจำนวนมากที่เป็น “มรณสักขีที่ซ่อนเร้น มรณสักขีที่ไม่มีคนรู้จัก”  พวกเขาคือชายหญิงที่มีความเชื่อต่อเสียงของพระจิตเจ้า  และเป็นผู้ที่แสวงหาหนทางให้ในการช่วยเหลือพี่น้องของพวกเขาให้รักพระเป็นเจ้าได้ดียิ่งขึ้น”
            พระองค์ตรัสว่า  หลายครั้งที่มีการเบียดเบียนโดยพวก “ซันเฮดดริน” สมัยใหม่  ผู้ที่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของ”ความจริง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น