พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2024 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสัปดาห์ที่ 4

           หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
(ลูกา 1:39-45)








วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ผู้ทนทุกข์เพื่อให้คนบาปกลับใจ


คนจำนวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา – รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ชีวิตของคุณพ่อปีโอ


คุณพ่อปีโอ เคยพูดว่า “พ่อขอบอกกับคุณบ้าง คุณมาในโลกนี้เหมือนกับที่พ่อมา, พ่อมาพร้อมกับภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ… พ่อเองในฐานะพระสงฆ์นักบวช มีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ ในฐานะนักบวชกาปูชิน พ่อมีภารกิจในการรับใช้พระเจ้าด้วยความรักอย่างสมบูรณ์และเปี่ยมด้วยความรักต่อกฎเกณฑ์ของคณะและคำปฏิญาณของพ่อ ในฐานะพระสงฆ์,ภารกิจของพ่อคือการรับใช้พระเจ้าผ่านทางครอบครัวมนุษย์”

ความรักของพระคริสต์ผลักดันให้คุณพ่อปีโออุทิศตนอย่างเต็มที่ทุกวันเพื่อวิญญาณที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอบพระองค์เองเพื่อเขา

คุณพ่อปีโอพูดกับบางคนว่า “พ่อเติมแต่งชีวิตลูกด้วยความเจ็บปวดในความรัก” คุณพ่อปีโอเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตา: ความเจ็บปวดและความรักดำเนินไปในแสงสว่างของไม้กางเขนของพระคริสต์ พระเยซูทรงแสดงความรักของพระองค์ ไม่เพียงแต่สำหรับคนบาปและผู้ที่อยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนยากจน คนป่วย คนที่ถูกกีดกันในสังคม ซึ่งทำให้ชาวยิวที่ติดตามพระองค์พูดว่า “คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยินและคนใบ้กลับพูดได้” (มก. 7:37)

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ข้อคิดฝ่ายจิตจากคุณพ่อปีโอ


ชีวิตของคริสตชนเป็นเพียงการต่อสู้กับตนเองอย่างไม่หยุดพัก จิตวิญญาณจะไม่เบ่งบานเพื่อไปสู่ความสมบูรณ์ครบครัน เว้นแต่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด

เมื่อพูดถึงการประจญล่อลวง คุณพ่อปีโอกล่าวว่า “หากคุณเอาชนะการประจญล่อลวงได้สำเร็จ นั่นจะมีผลเหมือนกับการซักเสื้อผ้าที่สกปรก”

ครั้งหนึ่งคุณพ่อปีโอพูดว่า “ผู้ใดที่ไม่ทำการพิจารณาไตร่ตรองชีวิต(meditate) เขาก็เหมือนกับคนที่ไม่เคยส่องหน้าในกระจกเงาก่อนออกไปข้างนอก โดยไม่สนใจที่จะดูว่าตัวเองสะอาดหรือไม่ และเขาอาจออกไปข้างนอกในสภาพสกปรกโดยไม่รู้ตัว”

“ผู้ที่ทำการพิจารณาไตร่ตรองชีวิตตนเองและหันจิตใจของเขาไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกระจกเงาของจิตวิญญาณของเขา เพื่อช่วยให้เขาแสวงหาที่จะรู้ข้อบกพร่องของตนเอง, พยายามแก้ไข, ระงับแรงกระตุ้นของตนเอง และจัดระเบียบจิตสำนึกของตนเอง”

วันหนึ่ง มีคนถามคุณพ่อปีโอว่า “เราจะแยกแยะระหว่างการประจญและบาปได้อย่างไร? และเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ตกอยู่ในบาป?” คุณพ่อปีโอยิ้มและตอบว่า “เราจะแยกแยะระหว่างลากับมนุษย์ที่รู้จักเหตุผลได้อย่างไร”

“ลาปล่อยให้ตัวมันเองถูกนำทางไป แต่มนุษย์ที่รู้จักเหตุผลเป็นผู้นำทาง”

“ถูกต้อง” คุณพ่อปีโอตอบ

“แต่ทำไมเมื่อการประจญผ่านไปแล้วจึงยังมีความรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ล่ะครับ?”

คุณพ่อปีโอตอบว่า “ฟังนะ พ่อจะขอยกตัวอย่างให้คุณฟัง คุณเคยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวหรือไม่ ขณะที่ทุกอย่างสั่นสะเทือน คุณก็สั่นไหวเช่นกัน แต่คุณไม่ได้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง”

ที่มา: Padre Pio The stigmatist

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ทางที่จะไปสวรรค์มีเพียงทางเดียว


ทางที่จะไปสวรรค์ไม่ได้มีมากมายนัก มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้ นั่นคือผ่านทางความเชื่อในพระคริสต์และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ผมรู้ว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน หลายคนคิดว่ายังมีเส้นทางอื่นที่จะไปสวรรค์ได้ มหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์บริจาคทรัพย์สินสุทธิร้อยละ 85 ให้กับการกุศล โดยกล่าวว่า “มีมากกว่าหนึ่งวิธีที่จะไปสู่สวรรค์ได้ แต่สิ่งที่ผมทำนี้เป็นหนทางที่ดี” ผมขอชื่นชมบัฟเฟตต์สำหรับความเอื้อเฟื้อของเขา แต่เขาจะต้องประหลาดใจเมื่อเขาค้นพบว่าเขาไม่สามารถใช้การบริจาคเป็นหนทางไปสู่สวรรค์ได้ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสู่สวรรค์ได้ นั่นคือผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ภารกิจของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์


คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกในข้อ 336 สอนว่า “ตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งตาย ชีวิตของมนุษย์ถูกล้อมรอบด้วยการดูแลเอาใจใส่และการวิงวอนของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์”

เราได้รับการคุ้มครองและเฝ้าระวังจากทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ของเราแม้ในขณะที่เราเสียชีวิต ทูตสวรรค์เหล่านี้ไม่ได้อยู่กับเราเพียงในชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น แต่พวกเขายังดูแลเอาใจใส่เราถึงในชีวิตหน้าด้วย

เราต้องเข้าใจว่าทูตสวรรค์ “พระองค์ทรงส่งมารับใช้ผู้ที่จะต้องได้รับความรอดพ้น” (ฮีบรู 1:14) ในทำนองเดียวกัน นักบุญบาซิลสอนว่าไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “มีทูตสวรรค์คอยปกป้องและเลี้ยงดูผู้มีความเชื่อทุกคนเพื่อนำเขาไปสู่ชีวิต” (CCC 336)

ดังนั้นภารกิจหลักของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์คือการช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้น นั่นคือ นำเราทุกคนเข้าสู่ชีวิตแห่งการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ภารกิจนี้รวมถึงความช่วยเหลือขณะที่วิญญาณไปปรากฏตัวต่อหน้าพระเจ้าด้วย

บรรดาปิตาจารย์แห่งพระศาสนจักรพูดถึงภารกิจนี้ว่าทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์อยู่กับวิญญาณในช่วงเวลาแห่งความตาย และปกป้องวิญญาณจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของปีศาจ

นักบุญอาลอยซีอุส กอนซากา (1568–1591) กล่าวว่าในช่วงเวลาที่วิญญาณออกจากร่างกาย วิญญาณจะได้รับการติดตามและปลอบโยนจากทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์เพื่อให้วิญญาณสามารถปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้าได้อย่างมั่นใจ ตามคำกล่าวของนักบุญนี้ ทูตสวรรค์จะพูดถึงพระเมตตาของพระคริสต์เพื่อให้วิญญาณได้รับความบรรเทาในช่วงเวลาแห่งการพิพากษา, เมื่อผู้พิพากษาทรงตัดสินให้วิญญาณถูกส่งไปยังไฟชำระ