พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2024 ผู้ที่เป็นใหญ่ในสวรรค์

           ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี เข้ามาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าทั้งสองปรารถนาให้พระองค์ทรงกระทำตามที่ข้าพเจ้าจะขอนี้” พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านปรารถนาให้เราทำสิ่งใด” ทั้งสองทูลตอบว่า “ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม หรือรับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่” ทั้งสองทูลว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้วยที่เราจะดื่มนั้น ท่านจะได้ดื่ม และการล้างที่เราจะรับนั้น ท่านก็จะได้รับ แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
           เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธยากอบและยอห์น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกเขาทั้งหมดมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า คนต่างชาติที่คิดว่าตนเป็นหัวหน้าย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้เป็นใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน เพราะบุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์”
(มาระโก 10:35-45)








วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2567

รูปภาพพระเยซูโดย AI


การวิเคราะห์ด้วยรังสีเอกซ์แบบใหม่ดูเหมือนจะพิสูจน์ได้ว่าผ้าห่อพระศพแห่งตูรินนั้นมีขึ้นในสมัยของพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้AIสามารถสร้างภาพอันน่าทึ่งของสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าอาจเป็นภาพของพระเยซูเอง

 ชาวคริสต์เชื่อกันมานานแล้วว่าพระธาตุอันล้ำค่านี้คือผ้าห่อพระศพของพระเยซูซึ่งมีรอยประทับของพระพักตร์ของพระเมสสิยาห์เอง แม้ว่าเคยมีการวิเคราะห์อายุด้วยคาร์บอน 14 ในช่วงปี 1980 จะชี้ให้เห็นว่าที่จริงแล้วเป็นภาพวาดปลอมจากช่วงศตวรรษที่ 1300 แต่ปรากฏว่าการวิเคราะห์ครั้งนั้นใช้เศษผ้าที่มีการซ่อมแซมไปใช้วิเคาะห์จึงไม่น่าเชื่อถือในผลลัพท์ การประเมินอายุด้วยรังสีเอกซ์แบบใหม่บ่งชี้ว่าผ้าห่อพระศพนั้นมีอายุ 2,000 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงสมัยของพระเยซูคริสต์ ตามการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Heritage

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567

กุศลจิตและความเมตตา



กุศลจิตคืออะไร?

“เขาถามพระเยซูว่า ‘ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า’ – ‘คือผู้ที่แสดงความเมตตาต่อเขา’” (ลูกา 10:29,37)  

ความรักประเภทใดที่กิจการแห่งกุศลจิตสะท้อนให้เห็น กุศลจิตคือการแบ่งปันและมีส่วนร่วมในความรักของพระเจ้า เพื่อรักผู้อื่นในแบบที่พระเจ้าทรงรัก พระเยซูทรงบัญชาให้เรารักกันอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา (ยอห์น 13:34) – และความรักนี้เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ในฐานะคริสตชนซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า การกระทำกุศลจิตของเราเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิธีที่เราแสดงความเมตตาต่อพี่น้องของเราด้วยความรักที่มีต่อพวกเขา  

งานของกุศลจิตมีสองประเภท: งานกุศลฝ่ายวิญญาณและงานกุศลฝ่ายร่างกาย งานกุศลฝ่ายวิญญาณคือการแสดงความเห็นอกเห็นใจให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเราในด้านความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณ ซึ่งรวมถึงการให้อภัย การปลอบโยน การค้ำจุนจิตใจ และการอดทนต่อความผิด งานกุศลฝ่ายร่างกายเป็นกิจกรรมที่ช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเราในด้านวัตถุและความต้องการทางกาย การให้ทานแก่คนยากจนถือเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่แสดงถึงกุศลจิต (CCC2447) และการให้ทานอย่างไม่เห็นแก่ตัวช่วยให้เราสามารถเป็นผู้ดูแลพระพรและทรัพยากรที่พระเจ้าประทานให้แก่เราได้  

ไม่มีงานกุศลใดที่เล็กเกินไป และวิธีเดียวที่จะเติบโตในคุณธรรมนี้คือการเลือกที่จะทำตั้งแต่วันนี้! เราสามารถแสดงงานกุศลฝ่ายจิตและฝ่ายกายต่อองค์กรการกุศลหรือกลุ่มเปราะบางในสังคม หรือชุมชนในอาณาบริเวณของเราเอง หรือแม้แต่กับเพื่อนและครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุดของเรา ใครคือเพื่อนบ้านของเรา และคุณอยากแสดงถึงกุศลจิตต่อพวกเขาอย่างไรในวันนี้  

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พิจารณาถึงสวรรค์บ่อยๆ


ยิ่งเรานึกถึงสวรรค์มากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องการไปที่นั่นมากขึ้นเท่านั้น
>>>อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ภาพวาดของปิกัสโซ


ปาโบล ปีกัสโซ (Pabro Picasso) วาดรูปภาพนี้เมื่อเขามีอายุ 15 ปี

  ภาพนี้มีชื่อว่า “การรับศีลมหาสนิทครั้งแรก”(First communion)

ขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนศิลปะ La Lonja ปิกัสโซได้วาดภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ชิ้นแรกของเขาที่มีชื่อว่า First Communion ผลงานนี้จัดแสดงในนิทรรศการสำคัญที่เมืองบาร์เซโลนาและได้รับความสนใจจากสื่อท้องถิ่น ผลงานนี้สอดคล้องกับความคาดหวังของการวาดภาพในเชิงวิชาการในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยเน้นที่ช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นในวัยเยาว์ของเด็กสาวคาทอลิกขณะที่เธอคุกเข่าอยู่หน้าพระแท่นบูชาเพื่อเตรียมรับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรกและเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ปิกัสโซได้เน้นย้ำถึงความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้โดยเชื่อมโยงสีขาวสว่างของชุดศีลมหาสนิทของเด็กสาวกับสีขาวของผ้าปูแท่นบูชาและแสงเทียนที่ส่องสว่างไปทั่วฉาก  

 อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ปิกัสโซเน้นที่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ความจริงที่ว่าพ่อของปิกัสโซเองเป็นแบบให้กับผู้ชายในผลงานชิ้นนี้ ซึ่งถือเป็นเครื่องหมายของการเปลี่ยนผ่านเชิงสัญลักษณ์ของปิกัสโซเองจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากผลงานของเขาเข้าสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก
 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

แม่พระกับคนบาป


วันที่ 5 มกราคม 1865 ดอนบอสโกได้เทศน์สอนดังนี้: "พระแม่มารีย์ไม่ทรงสนพระทัยต่อการแสดงความเคารพของผู้ที่ยังคงต้องการอยู่ในบาปหนัก ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตในบาปมาเป็นเวลานาน เขาไม่เคยปล่อยให้วันผ่านไปโดยไม่สวดภาวนาขอพรพระแม่มารีย์ ขณะที่เขายังคงสวดภาวนาต่อไปโดยไม่แก้ไขชีวิตในบาปของตน พระมารดาของพระเจ้าผู้เมตตาได้ปรากฏกายให้เขาเห็นในคืนหนึ่ง ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าพระแม่มารีย์,เขาถือถาดที่มีอาหารชิ้นเล็กๆหลายชิ้นวางอยู่บนถาด,และปูทับด้วยผ้าเช็ดปากที่สกปรกและมีกลิ่นเหม็น พระแม่มารีย์ขอให้ชายคนนั้นหยิบอาหารจากถาดมากินด้วยตนเอง "ไม่ครับ" ชายคนนั้นตอบ "ผ้าเช็ดปากนั้นทำให้ท้องไส้ของผมปั่นป่วน!"

 พระแม่มารีย์ตรัสกับเขาว่า “แม่ก็รู้สึกเช่นเดียวกันเกี่ยวกับการสวดภาวนาและความศรัทธาของลูก,เพราะบาปมากมายของลูก" "ลูกจะเพลิดเพลินกับอาหารชิ้นเล็กๆเหล่านี้ ถ้าไม่มีผ้าขี้ริ้วที่คลุมพวกมันไว้ แม่ก็รักความศรัทธาของลูกเช่นกัน แต่สำหรับบาปที่ทำให้วิญญาณของลูกแปดเปื้อนนั้น" แล้วพระแม่มารีย์ทรงหายไป ชายคนนั้นรู้สึกสะเทือนใจจากการตักเตือนของแม่พระ,เขาจึงไปสารภาพบาป ทำกิจใช้โทษบาป แล้วเขาก็ดำรงอยู่ในพระหรรษทานของพระเจ้

ที่มา: Don Bosco Horror of Sin 

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งเลปันโต


รูปภาพข้างบนนี้คือไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งเลปันโต หากคุณสังเกตดีๆพระเยซูทรงอยู่ในตำแหน่งที่แปลก พระองค์มีพระวรกายโค้งงอในท่าทางที่ผิดธรรมชาติ โดยพระวรกายและพระบาทของพระองค์ทำให้เกิดรูปครึ่งวงกลม เรื่องราวของไม้กางเขนนี้และท่าที่แปลกของพระเยซูเกี่ยวข้องกับการสู้รบที่เลปันโต

 ในปี ค.ศ. 1571 จักรวรรดิออตโตมัน/เติร์กมุสลิมโจมตีโลกคริสตชนและคุกคามอิตาลีและประเทศคริสตชนที่อยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตก พระสันตปาปาปิอุสที่ 5 ได้จัดตั้งกองเรือของพระสันตปาปาและแต่งตั้งดอน ฮวนแห่งออสเตรียเป็นผู้บัญชาการ พระสันตปาปาปิอุสที่ 5 ทรงเรียกร้องให้ชาวคาทอลิกในยุโรปสวดสายประคำ ก่อนการสู้รบ

กองเรือคริสตชนซึ่งนำโดยยอห์นแห่งออสเตรียสวดสายประคำเป็นเวลาสามชั่วโมงและรับศีลอภัยบาปหลังจากสารภาพบาป ออตโตมัน/เติร์กมีทหารมากกว่าเกือบสามเท่า ลมพัดสวนทางกับกองทัพเรือคริสตชนและสภาพแวดล้อมก็ไม่ดี แต่หลังจากที่การสวดสายประคำสิ้นสุดลง ลมในช่วงเริ่มต้นการสู้รบช่วยให้คริสตชนได้รับชัยชนะเหนือออตโตมัน/เติร์กอย่างยิ่งใหญ่ นี่เป็นหนึ่งในความพลิกผันของกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

 ตามตำนานเล่าว่าไม้กางเขนสีดำในรูปภาพข้างบนก็อยู่ที่นั่นด้วย อยู่บนดาดฟ้าของเรือ La Real ซึ่งเป็นเรือของยอห์นแห่งออสเตรีย ไม้กางเขนคอยปกป้องกองเรือคริสตชน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของการสู้รบ ลูกปืนใหญ่ลูกหนึ่งของออตโตมัน/เติร์กยิงมากระทบกับพระรูป แต่พระเยซูทรงเอี้ยวพระกายหลบกระสุนได้อย่างน่าประหลาดใจ กองทัพสัมพันธมิตรศักดิ์สิทธิ์ได้รับชัยชนะและหยุดการคุกคามของออตโตมันบนแผ่นดินยุโรป ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งเลปันโตปัจจุบันอยู่ในอาสนวิหารบาร์เซโลนา

 พระสันตปาปาปิอุสทรงเพิ่มวันฉลองใหม่ลงในปฏิทินพิธีกรรมโรมัน โดยกำหนดให้วันที่ 7 ตุลาคมเป็นวันฉลองพระนางพรหมจารีย์มารีย์แห่งชัยชนะ ต่อมาพระสันตปาปาปิอุสผู้สืบตำแหน่งต่อจากพระสันตปาปาเกรกอรีที่ 13 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวันฉลองสายประคำศักดิ์สิทธิ์

ไม้กางเขนโบราณและตำนานอันน่าทึ่งนี้ ซึ่งอาจสร้างขึ้นตามความเชื่อและความศรัทธาที่แพร่หลาย จะถูกนำไปวางไว้ตามท้องถนนในบาร์เซโลนาในบางวัน โดยเฉพาะในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ฟาติมา สิ่งที่ซ่อนอยู่


มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ามีปรากฏการณ์ลึกลับเกิดขึ้นที่ฟาติมา รวมถึงเมืองใกล้เคียง
>>>อ่านต่อ

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ครบรอบ 107 ปีการประจักษ์ที่ฟาติมา


วันที่ 13 ตุลาคม 1917 --- แม่พระทรงประจักษ์มาที่ฟาติมาเป็นครั้งที่หกและเป็นครั้งสุดท้าย --- และเกิดอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์ขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า อัศจรรย์แห่งฟาติมา ...

 ในคืนวันที่ 12-13 ตุลาคม ฝนตกทั่วพื้นจนเปียกโชกและผู้แสวงบุญที่เดินทางมาจากทุกทิศทุกทางสู่ฟาติมานับหมื่นคน พวกเขาเดินทางมาโดยเท้า รถลาก และแม้กระทั่งรถยนต์ เข้าสู่แอ่งน้ำโควาเดอลาเรีย ซึ่งปัจจุบันยังคงผ่านหน้าจัตุรัสขนาดใหญ่ของมหาวิหาร จากที่นั่น พวกเขาเดินลงมาตามทางลาดที่ลาดเอียงเล็กน้อยไปยังสถานที่ที่มีการสร้างเสาและคานข้ามต้นโอ๊กขนาดเล็กๆ ปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวมี Capelhina (โบสถ์น้อย) ที่สร้างขึ้นมีกระจกและเหล็กแบบสมัยใหม่ ล้อมรอบโบสถ์น้อยแห่งแรกที่สร้างขึ้นที่นั่นและรูปปั้นแม่พระแห่งสายประคำแห่งฟาติมาซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของต้นโอ๊กขนาดเล็ก

 ส่วนเด็กๆเดินทางไปที่โควาเดอลาเรียแล้ว พระแม่มารีย์ทรงสัญญาว่าจะมาถึงตอนเที่ยง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นถึงจุดสูงสุด พระแม่มารีย์ก็ประจักษ์มาตามที่บอกไว้

 ลูซีอาถามแม่พระ --- "ท่านจะบอกชื่อของท่านให้ฉันทราบได้ไหมคะ?"

 พระแม่มารีย์ตอบว่า --- "เราคือพระแม่มารีย์แห่งสายประคำ"
 ลูซีอาถามต่อ --- "ลูกมีคำร้องขอมากมายจากหลายๆคน ท่านจะอนุญาตหรือไม่คะ?"
 พระแม่มารีย์ตอบว่า --- "แม่จะอนุญาตบ้าง และปฏิเสธบ้าง ผู้คนต้องแก้ไขชีวิตของตนและขออภัยโทษสำหรับบาปของตน พวกเขาต้องไม่ทำให้พระเจ้าของเราขุ่นเคืองอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงขุ่นเคืองพระทัยมากเกินไปแล้ว!"

 เมื่อพระแม่แห่งสายประคำทรงลอยขึ้นไปทางทิศตะวันออก พระนางทรงหันฝ่ามือไปทางท้องฟ้า ขณะที่ฝนหยุดตกแล้ว เมฆดำยังคงบดบังดวงอาทิตย์อยู่ ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ก็ทะลุผ่านเมฆและมองเห็นเป็นแผ่นเงินที่หมุนวนอย่างนุ่มนวล

  “ดูดวงอาทิตย์!” --- ลูซีอาบอกกับฝูงชน

 จากจุดนี้ ภาพที่ปรากฏมีสองแบบที่แตกต่างกัน คือ ปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ที่ผู้ชมราว 70,000 คนเห็น และปรากฏการณ์ที่เด็ก ๆ เท่านั้นที่เห็น ลูซีอาบรรยายปรากฏการณ์หลังนี้ในบันทึกความทรงจำของเธอ

 หลังจากที่พระแม่มารีย์ทรงหายลับไปในระยะไกลของท้องฟ้า เราเห็นนักบุญยอแซฟกับพระกุมารเยซูและพระแม่มารีย์ที่สวมชุดสีขาวมีผ้าคลุมสีน้ำเงินอยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ นักบุญยอแซฟและพระกุมารเยซูดูเหมือนจะอวยพรโลก เพราะพวกเขาใช้มือทำเครื่องหมายไม้กางเขน เมื่อไม่นานต่อมา พระแม่มารีย์ก็หายไป ฉันเห็นพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์ ดูเหมือนพระเยซูเจ้าจะทรงอวยพรโลกในลักษณะเดียวกับที่นักบุญยอแซฟทรงทำ พระแม่มารีย์ก็หายไปเช่นกัน และฉันได้เห็นพระแม่มารีย์อีกครั้ง คราวนี้มีรูปร่างเหมือนพระแม่มารีย์แห่งคาร์เมล [มีเพียงลูเซียเท่านั้นที่เห็นภาพสุดท้ายนี้ ซึ่งเป็นสิ่งบอกเหตุว่าเธอกำลังจะเข้าในคณะคาร์เมลในอีกหลายปีต่อมา

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

รู้สึกท้อแท้เมื่อแพ้ต่อการประจญหรือ?


เมื่อใดก็ตามที่เราล้มลง เราก็ควรวิ่งเหมือนเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมอกอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบาป


บาปคือการละทิ้งพระเจ้าโดยเจตนา ทำลายจิตวิญญาณและความสัมพันธ์ของตนเองกับเพื่อนมนุษย์
>>>อ่านต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คุณค่าของความทุกข์


คณพ่อปีโอ เป็นผู้ที่ได้รับพระพรฝ่ายจิตจากสวรรค์และท่านมีความเข้าใจในชีวิตฝ่ายจิตอย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์นักพรตในคณะกาปูชิน การปฏิบัติศาสนกิจของท่านโดดเด่นด้วยการสวดภาวนาและความศรัทธา ท่านได้รับความทุกข์ทรมานตลอดเวลา ท่านได้รับแผลของการตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้า และท่านได้รับความทุกข์ทรมานจากรอยแผลเหล่านั้น ท่านยังถูกปีศาจโจมตีด้วย ข้อความด้านล่างมาจากประสบการณ์ของคุณพ่อปีโอ ซึ่งสอนเราว่าความทุกข์ทรมานของเรามีคุณค่ามหาศาลเมื่อรวมกับพระมหาทรมานของพระผู้ช่วยให้รอดของเราและด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อไปนี้เป็นคำพูดของท่านเกี่ยวกับความทุกข์

 ยิ่งคุณทุกข์ทรมานมากเท่าไร พระเจ้าก็ยิ่งรักคุณมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อเราทุกข์ทรมาน พระเยซูจะอยู่ใกล้เรามากขึ้น  

 พายุที่กำลังโหมกระหน่ำรอบตัวคุณจะกลายเป็นความรุ่งโรจน์ของพระเจ้า, เป็นบุญกุศลของคุณเอง, และเพื่อประโยชน์ของวิญญาณมากมาย”

การเสียสละทุกอย่างและความดีทุกอย่างที่คุณได้ทำนั้นจะมุ่งตรงไปที่พระเจ้าเพื่อการชำระล้างบาปของทุกคน”  

การอุทิศตนอย่างแท้จริงและจริงจังประกอบด้วยการรับใช้พระเจ้าโดยไม่รับการปลอบประโลมใดๆ นี่หมายถึงการรับใช้และรักพระเจ้าเพื่อเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง”

ความเจ็บปวดที่แทบทนไม่ไหวเมื่ออยู่ในความทุกข์นั้นยังห่างไกลจากไม้กางเขนมากนัก แต่เมื่อได้มอบความเจ็บปวดจากความทุกข์ให้เข้าใกล้ไม่กางเขนของพระเยซูเจ้าแล้ว มันช่างให้ความอ่อนหวานยิ่งนัก  

ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะรักพระเยซูอย่างจริงจัง สิ่งนี้จะขับไล่ความกลัวทั้งหมดออกไปจากหัวใจของเราแล้ววิญญาณจะพบว่าแทนที่จะเป็นการเดินไปในหนทางของพระเยซู,มันกลายเป็นการบินไป  

- คุณพ่อปีโอ  

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คุณพ่อปีโอขับไล่ปีศาจ


เมื่อสตรีคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจเข้าสิงบุกเข้าไปในซานโจวันนี คุณพ่อปีโอเดินเข้าไปหาเธออย่างใจเย็นและสามารถขับไล่ปีศาจนั้นออกไปได้

 นักบุญคุณพ่อปีโอ มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างพิเศษ ทำให้ท่านสามารถกระทำอย่างใจเย็นได้เมื่อปีศาจพยายามทำให้ท่านกลัว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และในบางครั้ง ผู้ที่โดนผีสิงก็จะเข้าไปในโบสถ์ที่ซานโจวันนี รอตตันโด 

 ผู้เขียน C. Bernard Ruffin เล่าเรื่องต่อไปนี้ในหนังสือของเขา Padre Pio: The True Story 

การรักษาอาการถูกปีศาจสิง 

ตามที่ Ruffin เล่า "คุณพ่อ John Schug (1928–2002) เมื่อเขาสัมภาษณ์พระสงฆ์อาวุโสที่ซานโจวันนีไม่กี่ปีหลังจากการเสียชีวิตของคุณพ่อปีโอ, ได้ยินมาว่ามีสตรีคนหนึ่งที่ดูไม่เพียงแต่มีปัญหาทางจิตเท่านั้น ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว และดวงตาของเธอมีประกายแวววาวจนผู้คนเริ่มวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว 'ฉันเป็นเจ้าของโบสถ์แห่งนี้!' เธอกรีดร้อง 

เมื่อหญิงคนนั้นเห็นรูปของนักบุญไมเคิล อัครทูตสวรรค์ เธอพูดว่า “แกไม่ได้ชนะ ข้าชนะ!” 

เธอก่อความวุ่นวายขึ้นในโบสถ์จนดึงดูดความสนใจของคุณพ่อปีโอ ซึ่งกำลังฟังสารภาพบาปอยู่ 

ท่านออกจากห้องสารภาพบาปและผู้ดูแลโบสถ์ก็ขอร้องให้ท่านอย่าไป คุณพ่อปีโอตอบว่า “อย่ากลัว...เรากลัวปีศาจตั้งแต่เมื่อไร” 

คุณพ่อปีโอเดินเข้ามาหาเธอและพูดว่า “ออกไปจากที่นั่น!” 

เธอเริ่มวิงวอนคุณพ่อปีโอว่า “อย่าส่งข้าออกไปเลย อย่าส่งข้าออกไปเลย!” 

ท่านบอกให้เธอไปนั่งรอที่นั่นจนกว่าท่านจะฟังสารภาพบาปเสร็จ 

[จากนั้น] ท่านพบว่าผู้หญิงคนนั้นนั่งเงียบๆ ท่านจึงพาเธอไปที่ห้องสารภาพบาป เมื่อเธอออกจากห้องสารภาพบาป “ใบหน้าของเธอเหมือนทูตสวรรค์” 

 นักบุญคุณพ่อปีโอ เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในพลังของการสารภาพบาป และแม้กระทั่งทุกวันนี้ พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจยังคงแนะนำให้สารภาพบาปบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พลังของซาตานมีอิทธิพลต่อบุคคลใดๆ 

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

เก้าอี้ของนักบุญเปโตร


เมื่อวันพุธที่ 2 ตุลาคม พระสันตปาปาทรงมีโอกาสได้ทรงชมเก้าอี้ของนักบุญเปโตรในห้องเก็บเครื่องบูชาออตโตโบนี(Ottoboni sacristy)ของมหาวิหารนักบุญเปโตร หลังจากทรงประกอบพิธีมิสซาในจัตุรัสนักบุญเปโตร ก่อนการประชุมไซนอดครั้งที่ 2 ว่าด้วยเรื่องSynod on Synodality ภาพของพระองค์ขณะประทับนั่งหน้าเก้าอี้ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัล

 นับตั้งแต่ปี 1974 พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเป็นพระสันตปาปาพระองค์แรกที่ได้ชมเก้าอี้ที่เชื่อกันว่าเป็นของนักบุญเปโตร อัครสาวก

 ประเพณีโบราณระบุว่านักบุญเปโตรเคยนั่งบนเก้าอี้ดังกล่าวระหว่างการเทศน์สอนคริสตชนยุคแรกในกรุงโรม

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปีศาจกำลังตื่นตกใจ


โดย Fr.Ripperger (พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ)

 ปีศาจแสดงให้เห็นเครื่องหมายทุกอย่างที่แสดงว่าเวลาของมันใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว ปีศาจมากกว่าหนึ่งตัวได้บอกผมว่า เวลาของมันสั้นลง และมันก็ร้องไห้เพราะมันชอบอำนาจทุกอย่างที่มันได้รับในเวลานี้ นั่นหมายความว่าพระเจ้ากำลังจะทำให้ทุกสิ่งจบลงสำหรับมัน เราจึงควรมีความวางใจอย่างสมบูรณ์ในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์ เราต้องมีความวางใจในพระเจ้าไม่ว่าเวลาใดที่ปีศาจพยายามสร้างอิทธิพลในชีวิตของเรา พระเจ้าจะทรงดูแลเราและชำระล้างเราให้บริสุทธิ์ จะช่วยเราให้เดินทางไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ในคุณธรรมความดี

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2567

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์


ทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ของฉัน โปรดปกป้องฉันด้วยปีกของท่าน
>>>อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567

7 ต.ค. วันแห่งการสวดภาวนาและอดอาหาร


พระสันตปาปาฟรังซิสทรงเรียกร้องให้วันที่ 7 ตุลาคมเป็นวันแห่งการสวดภาวนาและอดอาหารเพื่อสันติภาพซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปีของการปะทุของสงครามอิสราเอล-ฮามาส

 พระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสว่า “ในช่วงเวลาอันระทึกขวัญในประวัติศาสตร์ของเรา ขณะที่ลมแห่งสงครามและไฟแห่งความรุนแรงยังคงทำลายล้างผู้คนและประเทศชาติทั้งประเทศ” ชุมชนคริสตชนจึงได้รับการเตือนให้ “อุทิศตนเพื่อรับใช้มนุษยชาติ”

พระองค์ทรงเชิญสมาชิกสภาสังคายนาทั้งหมดไปเยี่ยมมหาวิหารเซนต์แมรี่เมเจอร์ในวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันก่อนวันครบรอบ โดยพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะ “ทูลขอจากใจจริงถึงพระแม่มารี” เพื่อขอสันติภาพ

 พระสันตปาปาทรงกระตุ้นว่า “ให้เราเดินไปด้วยกัน ขอให้เราฟังเสียงของพระเจ้า และขอให้เราได้รับการทรงนำโดยสายลมแห่งพระจิต”

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คุณธรรมความอดทน


หากคุณรู้สึกหงุดหงิดที่พระเจ้าดูเหมือนจะไม่ตอบคำอธิษฐานของคุณ คุณไม่ควรยอมแพ้แต่จงอดทนรอคอย

 คุณธรรมแห่งความอดทนเป็นสิ่งที่พวกเราหลายคนขาดไป โดยเฉพาะในบางช่วงของชีวิต คุณอาจมีช่วงเวลาที่คุณหงุดหงิดกับลูกๆของคุณเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยหรือไม่สบาย

ขอให้ดูความอดทนของนักบุญเป็นตัวอย่าง

 ในพันธสัญญาเดิม  

 โจเซฟต้องรอนานถึง 13 ปีกว่าจะได้รับอิสรภาพและได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองอียิปต์

อับราฮัมต้องรอถึง 25 ปีเต็มเพื่อจะได้อิสอัค ถือกำเนิดเป็นลูกชายของเขา ซึ่งในเวลานั้นเขาอายุได้ 100 ปี  

ส่วนโมเสส... การรอคอยในทะเลทรายนานถึง 40 ปีก่อนที่จะนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา  ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความอดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ

ในพันธสัญญาใหม่  

เอลิซาเบธ มารดาของยอห์นผู้ทำพิธีล้างด้วยน้ำ ซึ่งเธอถูกกล่าวขานว่าเป็นหมันและต้องรอจนแก่เฒ่าจึงจะได้รับพรให้กำเนิดยอห์น  

สุดท้าย ลองนึกถึงพระเยซู พระองค์ทรงรออย่างน่าประทับใจถึง 30 ปีก่อนที่จะเริ่มงานประกาศข่าวดีต่อสาธารณชน นั่นคือ จนกว่าจะถึงเวลาที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงกำหนดไว้ 

นักบุญโมนิกาต้องใช้เวลาถึง 18 ปีในการสวดภาวนาวอนขอให้ลูกชายของเธอ,ออกัสติน,กลับใจ 

ดังนั้น หากคุณวางใจในพระเจ้าก็จงมีความอดทน โปรดจำบุรุษและสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มาก่อนคุณ ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาและความอดทนอย่างยิ่งใหญ่ต่อพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้องขอบคุณเวลานั้นด้วย พวกเขาจึงได้รับหรือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ 

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ความรักอันยิ่งใหญ่ต่อพระเยซู


ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงถามคัทเธอรีนแห่งเซียนนาว่า “ลูกที่รัก ลูกรู้ไหมว่าทำไมเราถึงรักลูก?” คัทเธอรีนตอบว่าเธอไม่ทราบ พระเยซูจึงตรัสว่า “เราจะบอกลูก ถ้าเราเลิกรักลูก ลูกก็จะไม่เหลืออะไรเลย ลูกจะไม่สามารถทำอะไรดีๆได้เลย เวลานี้ลูกคงเห็นแล้วว่าทำไมเราถึงต้องรักลูก” “จริงค่ะ” คัทเธอรีนตอบ และทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “ลูกอยากจะรักพระองค์แบบนั้น” 

 แต่ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นไม่เหมาะสม พระเยซูทรงยิ้ม จากนั้นเธอก็พูดอีกว่า “แต่มันไม่ยุติธรรม พระองค์สามารถรักลูกด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ลูกรักพระองค์ด้วยความรักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ในขณะนั้น พระเยซูทรงขัดจังหวะและตรัสว่า “เราได้ทำให้ลูกสามารถรักเราด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ได้” เธอประหลาดใจและถามพระองค์ทันทีว่าทำอย่างไร “เราได้ให้เพื่อนมนุษย์ของลูกอยู่ข้างๆใกล้ลูกแล้ว ไม่ว่าลูกจะทำอะไรกับพวกเขา เราจะถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำกับเรา” คัทเธอรีนเต็มไปด้วยความปิติยินดีและวิ่งไปดูแลคนเจ็บป่วยในโรงพยาบาล “ตอนนี้ลูกสามารถรักพระเยซูด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว” 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2567

แปลกแต่จริง



คุณแม่ชาวเซาท์แคโรไลนาคนหนึ่งยังคงไม่เชื่อข่าวนี้ หลังจากที่เธอเพิ่งคลอดลูกคนที่ 4 เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดวันเดียวกันกับพี่ๆทั้งสามของเธอ  

 คริสติน แลมเมิร์ต(Kristin Lammert) เป็นคุณแม่ของลูกสาว 3 คน ได้แก่ โซเฟีย วัย 9 ขวบ จิวเลียนา วัย 6 ขวบ และมีอา วัย 3 ขวบ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ก่อนที่จะต้อนรับลูกสาวคนที่ 4 วาเลนตินา ที่เกิดในวันเดียวกันในปีนี้ ลูกสาวทั้ง 3 คน,แต่ละคนเกิดห่างกัน 3 ปี

--------------
ข่าวจากวาติกัน 

 ข้อสรุปจากวาติกันเกี่ยวกับการประจักษ์ของแม่พระที่การาบังดัล ไม่มีองค์ประกอบ "เหนือธรรมชาติ" ในการปรากฏตัวของพระแม่มารีย์ ที่ซานเซบาสเตียน เดอ การาบันดัลในช่วงทศวรรษ 1960 แต่อนุญาตให้มีการนมัสการแบบส่วนตัว เนื่องจากผู้คน "ไปสวดภาวนาแล้วจึงไปร่วมพิธีมิสซา"

 เรื่องนี้ได้รับการประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา โดยประธานสมณะกระทรวงแห่งความเชื่อ พระคาร์ดินัลวิกเตอร์ มานูเอล เฟอร์นันเดซ แห่งอาร์เจนตินา ในงานแถลงข่าวที่นครวาติกัน (กรุงโรม) ซึ่งรายงานโดย Europa Press เมื่อถูกซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองแคนตาเบรียระหว่างปี 1961 ถึง 1965 ซึ่งเด็กหญิง 4 คน อายุระหว่าง 10 ถึง 12 ปี จากเมืองดังกล่าวอ้างว่าได้เห็นการปรากฏมาของนักบุญมีคาแอล อัครทูตสวรรค์ และพระแม่มารีย์หลายครั้ง