พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2025 เทศกาลเตรียมรับเสด็จ 2

          (1)ในครั้งนั้น ยอห์น ผู้ทำพิธีล้างมาประกาศสอนในถิ่นทุรกันดารแห่งยูเดีย (2)ยอห์น กล่าวว่า “จงกลับใจเถิดอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” (3) ยอห์นผู้นี้คือผู้ที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวถึงว่า
(มัทธิว.3:1-12)








วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

แม่พระนำเราไปสู่สวรรค์


“บนโลก,เด็กๆไม่สามารถเกิดมาได้โดยปราศจากมารดา เป็นสตรีที่นำพวกเขามาสู่โลก และเช่นเดียวกันเป็นสตรีที่นำพวกเราไปสู่สวรรค์ และสตรีนั้นคือพระนางมารีย์” 
- นักบุญมารีย์แห่งพระเยซูผู้ถูกตรึกางเขน

พระสันตะปาปาเลโอที่ 13 กล่าวว่า “อาจเป็นการยืนยันว่าตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดมาถึงเราโดยไม่ผ่านมือของพระนางมารีย์ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้พระบิดาผู้ทรงฤทธานุภาพได้นอกจากโดยทางพระบุตร ดังนั้นไม่มีใครสามารถเข้าใกล้พระคริสตเจ้าได้นอกจากผ่านทางพระมารดาของพระองค์” (สมณสาสน์ Octobri Mense).
ข้าแต่พระนางมารีย์ โดยเหตุที่องค์พระเยซูเจ้าปรารถนาที่จะมาหาพวกลูกผ่านทางพระนาง โปรดให้ลูกสามารถไปถึงพระองค์ผ่านทางพระนางด้วยเทอญ
# Saint 😊🙏🩵

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568

เยือนเลบานอนวันที่สอง


เมื่อวันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2025 พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงใช้เวลาสวดภาวนา ณ ที่ฝังศพของนักบุญชาร์เบล พระสงฆ์มาโรไนต์(Maronite)ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีชื่อเสียง ณ อารามเซนต์มารูนในเมืองอันนายา ซึ่งเป็นวันที่สองของการเสด็จเยือนเลบานอนของพระสันตะปาปา

การเสด็จเยือนที่ฝังศพของนักบุญนี้ไม่เป็นแต่การแสดงออกถึงความรักความห่วงใยของพระสันตะปาปาที่มีต่อพระสงฆ์ชาวเลบานอนเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความผูกพันของสำนักวาติกันกับชุมชนชาวมาโรไนต์ ซึ่งเป็นชุมชนคริสตชยที่ใหญ่ที่สุดในเลบานอนอีกด้วย

ในภาพนักบุญชาร์เบล ใบหน้าของท่านมีเคราสีขาวและผ้าคลุมศีรษะสีดำ ประดับประดาด้วยแสงแห่งความบริสุทธิ์ พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงตรัสไว้ในพระดำรัสที่ทรงมีต่อเยาวชนในตอนเย็นหลังการเสด็จเยือนว่า “ดวงตาของท่านนักบุญมักจะถูกวาดให้หลับตา ราวกับกำลังปกปิดความลึกลับอันยิ่งใหญ่ยิ่ง” และแท้จริงแล้ว นักบุญชาร์เบลมักจะถูกวาดให้หลับตาในสัญลักษณ์แบบดั้งเดิม ราวกับกำลังสวดมนต์อยู่

พระสันตะปาปาตรัสต่อไป “ผ่านดวงตาของนักบุญชาร์เบล ซึ่งถูกปิดลงเพื่อมองเห็นพระเจ้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรายังคงมองเห็นแสงสว่างของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น บทเพลงที่อุทิศแด่ท่านนักบุญนั้นไพเราะยิ่งนัก: “โอ้ ท่านผู้หลับใหล และดวงตาของท่านเป็นแสงสว่างสำหรับเรา เมล็ดแห่งความหอมได้บานสะพรั่งบนเปลือกตาของท่าน”

#CATHOLIC #NEWS

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

การสวดภาวนาของน.แคทเธอรีน ลาบูเร


นักบุญแคทเธอรีน ลาบูเร(St. Catherine Laboure) บรรยายชีวิตการสวดภาวนาของเธออย่างเรียบง่ายว่า

ทุกครั้งที่ฉันไปโบสถ์น้อย ฉันก็จะอยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้าผู้แสนดีของเรา และทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ลูกอยู่ที่นี่ โปรดบอกลูกด้วยว่าพระองค์ต้องการให้ลูกทำอะไร หากพระองค์ทรงมอบหมายงานให้ ลูกก็พอใจและขอบพระคุณพระองค์ หากพระองค์ไม่มอบหมายงานให้ ลูกก็ยังคงขอบพระคุณพระองค์ เพราะลูกไม่สมควรได้รับสิ่งใดมากไปกว่านั้น”

แล้วฉันก็ทูลพระเยซูเจ้าทุกสิ่งที่อยู่ในใจ ฉันบอกพระองค์ถึงความทุกข์และความสุขของฉัน แล้วฉันก็ฟัง หากคุณฟัง พระเยซูเจ้าก็จะตรัสกับคุณเช่นกัน เพราะเมื่ออยู่กับพระเยซูเจ้าผู้แสนดี คุณต้องทั้งพูดและฟัง พระเยซูเจ้าจะตรัสกับคุณเสมอเมื่อคุณเข้าเฝ้าพระองค์อย่างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย


#CATHOLIC #SAINT

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568

หตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์


ณ นีเซีย, ในปีที่ 1,700 เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์, การรวมตัวกันครั้งสำคัญแห่งคริสตจักรคาทอลิกและออร์โธดอกซ์ บรรดาผู้สืบทอดตำแหน่งบิชอปเหล่านั้น ซึ่งประกอบด้วยพระสันตะปาปาเลโอและพระสังฆราชบาร์โธโลมิว ได้ร่วมกันเปล่งเสียงภาวนาบทข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า บทภาวนาแห่งความเชื่อของคริสตศาสนา

ในวันนี้ 28 พฤศจิกายน 2025 ครบรอบ 1,700 ปีแห่งสังคายนาอันยิ่งใหญ่ของคริสตจักรที่เมืองนิเซีย (Council of Nicaea) ผู้สืบทอดตำแหน่งของบรรดาบิชอปเหล่านั้นในนามพระสันตปาปาเลโอและพระสังฆราชบาร์โธโลมิว ยืนอยู่บนสะพานคนเดินที่สร้างขึ้นบนผืนดินที่แห้งแล้งของทะเลสาบอิซนิก โดยมีซากมหาวิหารที่ยังไม่ได้ปกคลุมอยู่ตรงหน้า และพวกเขาร่วมกันสวดบทข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า บทภาวนาที่เกิดขึ้นในสังคายนาแห่งนีเซีย ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรทั้งสองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทั้งสองยังมีเจตนาที่จะทำงานต่อไปเพื่อหาวันอีสเตอร์ร่วมกัน อันที่จริงแล้ว สภาแห่งไนเซียได้นำประเด็นนี้ไปหารือกับคริสตจักรยุคแรกแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากชุมชนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปศาสนาหรือลัทธิอื่นๆ (แองกลิกัน คาทอลิกเก่า ลูเธอรัน เมธอดิสต์ แบปทิสต์ เมนโนไนต์ เพนเทคอสต์ อีแวนเจลิคัล ฯลฯ) เดินข้ามสะพานไม้ที่ประมุขคริสตจักรทั้งสองร่วมันสวดภาวนา



#CATHOLIC #NEWS

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

9 สถานที่ เสด็จเยือนตุรกีและเลบานอน


9 สถานที่สำคัญทางศาสนาประวัติศาสตร์ที่พระสันตปาปาลีโอที่ 14 จะเสด็จเยือนในตุรกีและเลบานอน

1. มหาวิหารแห่งพระจิต (อิสตันบูล ประเทศตุรกี) มหาวิหารโรมันคาทอลิกสร้างขึ้นและเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1846 และเป็นที่ตั้งของพระสังฆราชแห่งอิสตันบูล มหาวิหารขนาดเล็กแห่งนี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อมหาวิหารเซนต์เอสปรี เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุของนักบุญหลายองค์ รวมถึงพระธาตุของพระสันตะปาปาสององค์แรก คือ นักบุญปีเตอร์และนักบุญไลนัส

2. การขุดค้นทางโบราณคดีของมหาวิหารเซนต์นีโอฟิทัสโบราณ (Iznik, ตุรกี) มหาวิหารโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของอิสตันบูลประมาณ 81 ไมล์ เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในปีค.ศ. 380 บนสถานที่จัดการสังคายนาครั้งแรก หรือสภาไนเซีย ซึ่งจัดขึ้นโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ในปีค.ศ. 325 สังคายนาครั้งนี้เป็นการยืนยันความเชื่อของคริสตจักรในพระเยซูคริสต์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า และนำไปสู่การกำหนดคำประกาศความเชื่อไนเซีย

3. มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด (อิสตันบูล ประเทศตุรกี) มัสยิดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอิสตันบูล สร้างขึ้นระหว่างปี 1609–1617 บนส่วนหนึ่งของพื้นที่พระราชวังคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิคริสเตียนคอนสแตนตินที่ 1 และจักรพรรดิโรมันตะวันออกจนถึงปี 1204

4. โบสถ์พระสังฆราชเซนต์จอร์จ (อิสตันบูล ประเทศตุรกี) โบสถ์นิกายออร์โธดอกซ์ตะวันออกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1720 และเป็นที่เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุของนักบุญที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดบางคนในคอนสแตนติโนเปิลโบราณ รวมถึงนักบุญยูเฟเมียแห่งคาลเซดอนด้วย ตั้งแต่ปี 2004, โบสถ์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุของนักบุญแอนดรูว์ อัครสาวก

5. โบสถ์ออร์โธดอกซ์อาร์เมเนียนเซนต์เกรกอรี ลูซาโวริช (อิสตันบูล ตุรกี) โบสถ์ออร์โธดอกซ์แห่งนี้ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าโบสถ์พระมารดาศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นอาสนวิหารที่เก่าแก่ที่สุดของคริสตจักรอาร์เมเนียอัครสาวกในตุรกี

6. โบสถ์พระสังฆราชเซนต์จอร์จ (อิสตันบูล ประเทศตุรกี) มหาวิหารนิกายกรีกออร์โธดอกซ์ซึ่งเปลี่ยนจากอารามมาเป็นโบสถ์เมื่อต้นศตวรรษที่ 17 ได้รับการสร้างขึ้นใหม่และก่อสร้างใหม่หลายครั้งตลอดประวัติศาสตร์ 425 ปี

7. อารามเซนต์มารูน (อันนายา เลบานอน) อารามมารอไนต์แห่งเลบานอน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1828 และกลายเป็นสถานที่แสวงบุญของคริสเตียนผู้แสวงหาคำปรึกษาทางจิตวิญญาณจากนักบุญชาร์เบล มัคลูฟ ผู้ซึ่งพำนักอยู่ในอารามอันนายาและอาศรมเซนต์ปีเตอร์และเซนต์พอลที่อยู่ใกล้เคียง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1853 จนกระทั่งท่านเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1898

8. อาสนวิหารแม่พระแห่งเลบานอน (ฮาริสซา เลบานอน) อาสนวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1904 เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีการประกาศหลักคำสอนพระแม่มารีปฏิสนธินิรมลโดยสมเด็จพระสันตปาปาปิอุสที่ 9 โดยเปิดทำการในวันอาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม 1908 และต่อมาได้กลายเป็นวันฉลองประจำปีของพระแม่แห่งเลบานอน

9. อัครบิดรแห่งมารอไนต์แห่งแอนติออก (เบเกอร์เก เลบานอน) หัวหน้าคณะอัครบิดรแห่งมารอไนต์อาศัยอยู่ใน Bkerké ตั้งแต่ปี 1830 ระหว่างศตวรรษที่ 15–19 หัวหน้าคริสตจักรนิกายโรมันคาธอลิกมารอไนต์อาศัยอยู่ในอาราม Qannubin ในหุบเขา Qadisha ของเลบานอน ตั้งแต่ปี 2004, โบสถ์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุของนักบุญแอนดรูว์ อัครสาวก

# Faith 😊🙏🩵

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

โลกที่โง่เขลา


ผู้น่าเคารพยอห์น แห่งอาวีลา เปรียบเทียบโลกว่าเป็นเหมือนคุก และท่านแบ่งโลกออกเป็นคุกสองคุก คุกหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า และอีกคุกหนึ่งสำหรับคริสตชนที่อยู่ในบาป,ห่างไกลจากพระเจ้า คุกอย่างหลังนี้เขาเรียกว่าคุกของคนเขลา แต่ความน่าสมเพชและความร้ายแรงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุกนี้คือ คนที่น่าสมเพชเหล่านี้คิดว่าตนเองฉลาดและสุขุม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนโง่เขลาและไร้ความรอบคอบที่สุดในบรรดามนุษย์ทั้งหลายก็ตาม บางคนโง่เขลาเพราะรักเกียรติยศ, บางคนเพราะแสวงหาความสุขจากโลก,จากการยึดติดกับวัตถุสิ่งของที่น่าสังเวชของโลกนี้ พวกเขาคิดว่าเป็นการโง่เขลาที่จะยอมรับการดูถูกและการให้อภัยหรือยอมรับความเจ็บไข้ เขาถือว่าเป็นความเขลาถ้าหากเว้นจากกามราคะ เป็นความเขลาถ้าควบคุมตนเองด้วยการทำพลีกรรม เป็นความเขลาถ้ายอมสละเกียรติยศและทรัพย์สมบัติ เป็นความเขลาในการรักความสันโดษ และใช้ชีวิตสมถะและซ่อนเร้น 
ปัญญาของโลกคือความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า  
#Catholic # Life

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

รูปภาพแพนโทเครเตอร์


The Pantocrator (แพนโทเครเตอร์)นั้นสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่ได้เห็นมาอย่างยาวนาน ... ยิ่งมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแปลกตามากขึ้นเท่านั้น

ในปี 1938 นักประวัติศาสตร์ศิลปะสองคนเริ่มจัดทำรายการไอคอนที่อารามเซนต์แคทเธอรีนในซีนาย เมื่อพวกเขาเผยแพร่ผลการศึกษา หนึ่งในไอคอนที่พวกเขาสนใจคือรูปพระเยซูคริสต์แพนโทเครเตอร์ หรือพระเยซูคริสต์ผู้ปกครองทุกสิ่ง พวกเขากำหนดอายุของไอคอนนี้ไว้ว่ามีอายุเก่าแก่มากในศตวรรษที่ 13

สร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคศิลปะแบบไบแซนไทน์โบราณ ทำจากขี้ผึ้งเคลือบบนแผ่นไม้ ซึ่งเป็นวัสดุที่ช่วยให้มีอายุเก่าแก่มาก เชื่อกันว่าเดิมทีสร้างขึ้นในกรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรูปเคารพของพระเยซูคริสต์ที่เก่าแก่กว่าซึ่งพบที่ประตูหลักของพระราชวัง และน่าจะถูกนำมาถวายที่อารามเป็นของขวัญจากจักรพรรดิจัสติเนียน ผู้ก่อตั้งอาราม

พระพักตร์แพนโทเครเตอร์สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่ได้เห็นมาอย่างยาวนาน ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา พระพักตร์ของพระเยซูยังคงมีความสม่ำเสมออย่างน่าทึ่งในรูปลักษณ์ที่ปรากฏ ซึ่งบ่งชี้ว่าพระพักตร์ของพระองค์นั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่ได้ถูกแต่งขึ้นหรือจินตนาการขึ้นเอง เนื่องจากความสม่ำเสมอของขนบธรรมเนียมทางศิลปะ จึงมีโอกาสสูงมากที่ภาพเขียนเช่นแพนโทเครเตอร์จะพรรณนาพระพักตร์ของพระเยซูที่แท้จริงตามที่เหล่าสาวกเห็น (ลองเปรียบเทียบแพนโทเครเตอร์กับภาพบนผ้าห่อพระศพแห่งตูริน)

ความแปลกประหลาดประการแรกคือ “การจ้องมองสองข้าง” ของพระเยซูเจ้า นี่ไม่ใช่เทคนิคการสร้างภาพสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จัก แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเห็นในภาพวาดสมัยใหม่

โดยพื้นฐานแล้ว ภาพนี้ถูกแบ่งครึ่ง และพระพักตร์ถูกแบ่งตรงกลาง ลักษณะของใบหน้าทั้งสองข้างมีความแตกต่างกันอย่างละเอียดอ่อน ซึ่งมองเห็นได้ง่ายที่สุดจากความแตกต่างของพระเนตรของพระคริสต์ การสร้างภาพสะท้อนในกระจกเผยให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างแท้จริงของพระพักตร์ทั้งสองข้างของพระองค์ การจ้องมองสองข้างเป็นผลงานศิลปะที่จงใจถ่ายทอดธรรมชาติทั้งสองของพระคริสต์ ด้านซ้ายแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ และด้านขวาแสดงถึงธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยื่นมือแห่งพระพรออกไปยังผู้ชม เป็นธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ที่ถือพระคัมภีร์และมีพระพักตร์ของผู้พิพากษา ภาพนี้ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ในชีวิตของพระเยซู ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อบอกเล่าเรื่องราว

# Faith 😊🙏🩵

..