ในปี ค.ศ. 1084 เรย์มอนด์ ดีโอเครส(Raymond Diocrès) ศาสตราจารย์คนหนึ่งเสียชีวิตที่ปารีส ในงานศพของเขามีผู้เข้าร่วมหลายร้อยคนเนื่องจากเขามีชื่อเสียงในด้านความรู้และความศักดิ์สิทธิ์อย่างเห็นได้ชัด เมื่อคณะนักร้องประสานเสียงมาถึงบริเวณห้องทำงานของผู้ตายและร้องเพลงที่มีเนื้อความว่า: “ความผิดและบาปของฉันคืออะไร? ความผิดและบาปของฉันถูกเปิดเผยแก่ฉัน!” ทันใดนั้นศพก็ลุกขึ้นนั่งและคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง: “ตามคำพิพากษาของพระเจ้า ฉันถูกกล่าวหา ถูกตัดสิน และถูกสาปแช่ง” ดูเหมือนว่าเรย์มอนด์มีบาปที่ซ่อนอยู่ ผู้ที่เข้าอยู่ในห้องนั้นด้วยคือ บรูโน ฮาร์เทนฟอสท์ (Bruno Hartenfaust)ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของผู้ตาย เขาตกใจกับเหตุการณ์นี้และตัดสินใจออกจากชีวิตที่ฟุ่มเฟือยและใช้ชีวิตอย่างยากจนและสันโดษ บรูโนได้เป็นนักบุญบรูโนแห่งโคโลญในปัจจุบัน
Pages
พระเมตตาของพระเยซูเจ้า
จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2025 งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา
  สามวันต่อมามีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในงานนั้น พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “หญิงเอ๋ย ท่านต้องการสิ่งใด เวลาของเรายังมาไม่ถึง” พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาคนรับใช้ว่า “เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด” ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาคนรับใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” เขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า “จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด” เขาก็ตักไปให้ ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่คนรับใช้ที่ตักน้ำรู้ดี ผู้จัดงานเลี้ยงจึงเรียกเจ้าบ่าวมา พูดว่า “ใคร ๆ เขานำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงนำเหล้าองุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ ครั้งแรกนี้ที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์
(ยอห์น 2:1-11)
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2025 งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา
  สามวันต่อมามีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในงานนั้น พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “หญิงเอ๋ย ท่านต้องการสิ่งใด เวลาของเรายังมาไม่ถึง” พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาคนรับใช้ว่า “เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด” ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาคนรับใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” เขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า “จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด” เขาก็ตักไปให้ ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่คนรับใช้ที่ตักน้ำรู้ดี ผู้จัดงานเลี้ยงจึงเรียกเจ้าบ่าวมา พูดว่า “ใคร ๆ เขานำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงนำเหล้าองุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ ครั้งแรกนี้ที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์
(ยอห์น 2:1-11)
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567
จิตที่ต้องหลีกเลี่ยง
มีจิตสองอย่างที่คุณต้องหลีกเลี่ยง
จิตอันแรกคือ จิตของโลก นักบุญเปาโลได้เขียนจดหมายถึงคริสตชนในเมืองโครินทร์ เตือนพวกเขาให้ปฏิเสธจิตของโลกและยอมรับพระจิตผู้ทรงเปิดเผยความจริงและประทานมาจากพระเจ้า 1โครินทร์ 2:12 เขียนว่า “เรามิได้รับจิตของโลก แต่รับพระจิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อให้รู้ถึงสิ่งต่างๆซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา” ในจดหมายอีกฉบับหนึ่งของนักบุญยอห์นได้เตือนเกี่ยวกับจิตของความรักทางโลก 1ยอห์น 2:15-17 เขียนว่า “จงอย่ารักโลก และสิ่งที่อยู่ในโลกเลย ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่อยู่ในตัวเขา เพราะทุกสิ่งที่อยู่ในโลก ได้แก่ ความมัวเมาในโลกีย์ ความโลภอยากได้ทุกสิ่ง และความหยิ่งทะนงโอ้อวดในทรัพย์สมบัติ ล้วนไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลกทั้งสิ้น และโลกพร้อมกับความมัวเมาในโลกีย์ของโลกนั้น กำลังผ่านพันไป แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า จะดำรงอยู่ตลอดนิรันดร”
ในเมืองคาร์เปอนาอุม,พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกปีศาจสิงทำให้เจ็บป่วยเป็นเวลานานถึง 18 ปี ในลูกา 13:16 พระเยซูตรัสว่า “หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ” เรื่องนี้สอนให้เราระวังตัวต่อจิตของโลกที่ต้องการผูกมัดเราไว้กับมัน และเราต้องไว้วางใจในพระเยซูผู้ทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
ในสมัยของกษัตริย์เอฮับ,กษัตริย์แห่งอิสราแอล,มีจิตแห่งการหลอกลวงทำงานอยู่ ประกาศกมีมีคายาห์,ประกาศกของพระเจ้า,เปิดเผยให้กษัตริย์รู้ถึงจิตที่หลอกลวงประกาศกของพระองค์ให้ทำนายเท็จ โดยพวกเขาบอกกษัตริย์ว่าพระองค์จะชนะในสงคราม แต่มีคายาห์ทำนายในทางตรงกันข้ามตามนิมิตที่ได้รับจากพระเจ้า ใน 1พงศ์กษัตริย์ 22:22 จิตตนนั้นทูลพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะไปทำให้ประกาศกทุกคนของเขา(กษัตริย์)พูดเท็จ” เรื่องนี้เดือนให้เราอย่าหลงเชื่อผู้ทำนายเท็จที่มีจิตแห่งการหลอกลวง
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2567
อาดัมและโนอาห์
ความคล้ายกันระหว่างอาดัมและโนอาห์เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนเป็นมนุษย์คนแรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการสร้างของพระเจ้า ในทั้งสองคนนี้พระเจ้าทรงย้ำว่ามนุษย์ถูกสร้างให้เป็นภาพลักษณ์และคล้ายกับพระเจ้า และพระองค์ทรงอวยพรเขาและทรงสั่งให้เขามีลูกหลานมากมาย โนอาห์ปลูกสวนองุ่น เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงปลูกพืชพันธ์ในสวนเอเดน และสั่งให้อาดัมดูแลพืชพันธิ์และสิ่งสร้างทั้งหลาย อาดัมได้กินผลไม้ที่พระจ้าทรงห้ามและตาของเขาก็เปิดออก ทำให้เขารู้ดีรู้ชั่วและเขารู้ตัวว่ากำลังเปลือยเปล่าอยู่ เขาจึงเอาใบไม้มาปกคลุมร่างกาย ส่วนโนอาห์ได้ดื่มเหล้าไวน์ที่ทำจากองุ่นในสวนของเขา ทำให้เขาเมามายและนอนเปลีอยกายอยู่ในกระโจม(ปฐ.9:21) คาม,ลูกชายคนที่สองมองเห็นโนอาห์เปล่าเปลือยและไม่ได้ช่วยอะไร แต่ไปบอก เชมและยาเฟท,ลูกชายอีกสองคนของโนอาห์ เชมและยาเฟทถือเสื้อผ้าเดินถอยหลังมาปกคลุมร่างกายของโนอาห์โดยไม่มองดูโนอาห์เลย เมื่อโนอาห์รู้ตัวจึงได้พูดสาปแช่งคาม ส่วนลูกชายอีกสองคนได้รับการอวยพร เช่นเดียวกัน,อาดัมและเอวา,หลังจากทำผิดต่อพระเจ้าก็ถูกสาปแช่ง
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567
ฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่
ความหมายของฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่รวมทั้งนครเยรูซาเล็มใหม่คืออะไร?
วิวรณ์ 21:1-2
แล้วข้าพเจ้าเห็น "ฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่" เพราะฟ้าเดิมและแผ่นดินเดิมสูญหายไป ไม่มีทะเลอีกต่อไป
ข้าพเจ้าเห็นนครศักดิ์สิทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ ลงมาจากสวรรค์ ลงมาจากพระเจ้า เตรียมพร้อมเหมือนกับเจ้าสาวที่แต่งตัวรอเจ้าบ่าว
จากหนังสือชีวิตแท้ในพระเจ้า 3 เมษายน 1995
พระเยซูตรัสอธิบายแก่วาสุลาว่า
“ฟ้าใหม่(สวรรค์)จะเกิดขึ้นเมื่อพระจิตเจ้าของเราหลั่งพระพรจากสวรรค์ชั้นสูงสุดลงมายังลูกทุกคน,เพื่อสร้างสวรรค์ออกมาจากวิญญาณของพวกลูก เพื่อว่าในสวรรค์ใหม่นี้เราจะได้รับเกียรติ” “ให้พระจิตเจ้าของเราสร้างแผ่นดินใหม่ในตัวของลูกเถิด, เพื่อที่แผ่นดินแรกของลูก,ที่เคยเป็นสมบัติของปีศาจจะสูญสลายหายไป แล้วนั้นความรุ่งโรจน์ของเราก็จะส่องแสงอีกครั้งในตัวลูก และเมล็ดพันธุ์แห่งสวรรค์ทั้งหมดที่หว่านลงในตัวลูกโดยพระจิตเจ้าของเราจะงอกงามและเติบโตในแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา”
...
วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2567
สาส์นแม่พระ 25 ต.ค. 2024
ลูกที่รักทั้งหลาย
ในช่วงเวลานี้ที่ลูกเฉลิมฉลองวันนักบุญทั้งหลาย,จงแสวงหาความช่วยเหลือจากท่านนักบุญและสวดภาวนา เพื่อที่ในความเป็นหนึ่งเดียวกับบรรดานักบุญ,ลูกจะได้พบสันติภาพ ขอให้บรรดานักบุญทั้งหลายเป็นแบบอย่างและเป็นผู้เข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือลูก เพื่อให้ลูกเลียนแบบท่านและดำเนินชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ แม่จะอยู่กับลูกและช่วยวิงวอนเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพื่อลูกแต่ละคน
ขอขอบใจที่ตอบสนองเสียงเรียกของแม่
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2567
คนโง่
มี 5 ครั้งที่พระเยซูทรงเรียกบางคนว่าเป็นคนโง่เขลา (เปิดพระคัมภีร์ดูตาม)
ในมัทธิว 23:17 พระเยซูตรัสสองครั้งว่า “คนโง่” คือคนที่มุ่งแต่ในเรื่องเงินทอง แทนที่จะมุ่งในพระเจ้า พระองค์เรียกพวกเขาว่า “คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย” และคำในภาษากรีกสำหรับคำว่า โง่เขลา นั้นคือ MORON
พระเยซูตรัสคำนี้เป็นครั้งที่สาม พบในลูกา 11:40 “คนโง่เอ๋ย” พระองค์ตรัสเกี่ยวกับฟาริสี ที่ดูแต่ภายนอก ไม่ดูภายในจิตใจ
พระเยซูตรัสครั้งที่สี่ พบในลูกา 12:20 พระองค์ตรัสเกี่ยวกับคนที่มุ่งแต่ชีวิตทางโลกในปัจจุบัน แทนที่จะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชีวิตนิรันดร์ คนที่คิดว่าเขามีทุกสิ่งแล้วและจะใช้ชีวิตที่เหลือในความสะดวกสบาย พระองค์เรียกเขาว่า “คนโง่เอ๋ย”
และพระเยซูตรัสครั้งที่ห้าและเป็นครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับคนโง่ พระองค์ตรัสหลังจากทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว และพระองค์เดินไปพร้อมกับศิษย์สองคนเพื่อไปยังเอมมาอุส ศิษย์ทั้งสองไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงกลับคืนชีพแล้ว พวกเขายังจำพระองค์ไม่ได้ (ลูกา 24:25) พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศกกล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์จองพระองค์มิใช่หรือ”
พระเยซูเรียกคนประเภทที่กล่าวมาแล้วนี้ว่า “คนโง่”
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2567
รูปภาพพระเยซูโดย AI
การวิเคราะห์ด้วยรังสีเอกซ์แบบใหม่พิสูจน์ได้ว่าผ้าห่อพระศพแห่งตูรินนั้นมีขึ้นในสมัยของพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้AIสามารถสร้างภาพอันน่าทึ่งของสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าอาจเป็นภาพของพระเยซูเอง
ชาวคริสต์เชื่อกันมานานแล้วว่าพระธาตุอันล้ำค่านี้คือผ้าห่อพระศพของพระเยซูซึ่งมีรอยประทับของพระพักตร์ของพระเมสสิยาห์เอง แม้ว่าเคยมีการวิเคราะห์อายุด้วยคาร์บอน 14 ในช่วงปี 1980 จะมีผลลัพท์ว่าเป็นภาพวาดจากช่วงศตวรรษที่ 1300 แต่ปรากฏว่าการวิเคราะห์ครั้งนั้นใช้เศษผ้าที่มีการซ่อมแซมไปใช้วิเคราะห์จึงไม่น่าเชื่อถือในผลลัพท์นั้น การประเมินอายุด้วยรังสีเอกซ์แบบใหม่บ่งชี้ว่าผ้าห่อพระศพนั้นมีอายุ 2,000 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงสมัยของพระเยซูคริสต์ ตามการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Heritage
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567
กุศลจิตและความเมตตา
กุศลจิตคืออะไร?
“เขาถามพระเยซูว่า ‘ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า’ – ‘คือผู้ที่แสดงความเมตตาต่อเขา’” (ลูกา 10:29,37)
ความรักประเภทใดที่กิจการแห่งกุศลจิตสะท้อนให้เห็น กุศลจิตคือการแบ่งปันและมีส่วนร่วมในความรักของพระเจ้า เพื่อรักผู้อื่นในแบบที่พระเจ้าทรงรัก พระเยซูทรงบัญชาให้เรารักกันอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา (ยอห์น 13:34) – และความรักนี้เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ในฐานะคริสตชนซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า การกระทำกุศลจิตของเราเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิธีที่เราแสดงความเมตตาต่อพี่น้องของเราด้วยความรักที่มีต่อพวกเขา
งานของกุศลจิตมีสองประเภท: งานกุศลฝ่ายวิญญาณและงานกุศลฝ่ายร่างกาย งานกุศลฝ่ายวิญญาณคือการแสดงความเห็นอกเห็นใจให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเราในด้านความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณ ซึ่งรวมถึงการให้อภัย การปลอบโยน การค้ำจุนจิตใจ และการอดทนต่อความผิด งานกุศลฝ่ายร่างกายเป็นกิจกรรมที่ช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเราในด้านวัตถุและความต้องการทางกาย การให้ทานแก่คนยากจนถือเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่แสดงถึงกุศลจิต (CCC2447) และการให้ทานอย่างไม่เห็นแก่ตัวช่วยให้เราสามารถเป็นผู้ดูแลพระพรและทรัพยากรที่พระเจ้าประทานให้แก่เราได้
ไม่มีงานกุศลใดที่เล็กเกินไป และวิธีเดียวที่จะเติบโตในคุณธรรมนี้คือการเลือกที่จะทำตั้งแต่วันนี้! เราสามารถแสดงงานกุศลฝ่ายจิตและฝ่ายกายต่อองค์กรการกุศลหรือกลุ่มเปราะบางในสังคม หรือชุมชนในอาณาบริเวณของเราเอง หรือแม้แต่กับเพื่อนและครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุดของเรา ใครคือเพื่อนบ้านของเรา และคุณอยากแสดงถึงกุศลจิตต่อพวกเขาอย่างไรในวันนี้
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2567
ภาพวาดของปิกัสโซ
ปาโบล ปีกัสโซ (Pabro Picasso) วาดรูปภาพนี้เมื่อเขามีอายุ 15 ปี
ภาพนี้มีชื่อว่า “การรับศีลมหาสนิทครั้งแรก”(First communion)
ขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนศิลปะ La Lonja ปิกัสโซได้วาดภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ชิ้นแรกของเขาที่มีชื่อว่า First Communion ผลงานนี้จัดแสดงในนิทรรศการสำคัญที่เมืองบาร์เซโลนาและได้รับความสนใจจากสื่อท้องถิ่น ผลงานนี้สอดคล้องกับความคาดหวังของการวาดภาพในเชิงวิชาการในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยเน้นที่ช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นในวัยเยาว์ของเด็กสาวคาทอลิกขณะที่เธอคุกเข่าอยู่หน้าพระแท่นบูชาเพื่อเตรียมรับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรกและเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ปิกัสโซได้เน้นย้ำถึงความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้โดยเชื่อมโยงสีขาวสว่างของชุดศีลมหาสนิทของเด็กสาวกับสีขาวของผ้าปูแท่นบูชาและแสงเทียนที่ส่องสว่างไปทั่วฉาก
อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ปิกัสโซเน้นที่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ความจริงที่ว่าพ่อของปิกัสโซเองเป็นแบบให้กับผู้ชายในผลงานชิ้นนี้ ซึ่งถือเป็นเครื่องหมายของการเปลี่ยนผ่านเชิงสัญลักษณ์ของปิกัสโซเองจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากผลงานของเขาเข้าสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567
แม่พระกับคนบาป
วันที่ 5 มกราคม 1865 ดอนบอสโกได้เทศน์สอนดังนี้: "พระแม่มารีย์ไม่ทรงสนพระทัยต่อการแสดงความเคารพของผู้ที่ยังคงต้องการอยู่ในบาปหนัก ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตในบาปมาเป็นเวลานาน เขาไม่เคยปล่อยให้วันผ่านไปโดยไม่สวดภาวนาขอพรพระแม่มารีย์ ขณะที่เขายังคงสวดภาวนาต่อไปโดยไม่แก้ไขชีวิตในบาปของตน พระมารดาของพระเจ้าผู้เมตตาได้ปรากฏกายให้เขาเห็นในคืนหนึ่ง ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าพระแม่มารีย์,เขาถือถาดที่มีอาหารชิ้นเล็กๆหลายชิ้นวางอยู่บนถาด,และปูทับด้วยผ้าเช็ดปากที่สกปรกและมีกลิ่นเหม็น พระแม่มารีย์ขอให้ชายคนนั้นหยิบอาหารจากถาดมากินด้วยตนเอง "ไม่ครับ" ชายคนนั้นตอบ "ผ้าเช็ดปากนั้นทำให้ท้องไส้ของผมปั่นป่วน!"
พระแม่มารีย์ตรัสกับเขาว่า “แม่ก็รู้สึกเช่นเดียวกันเกี่ยวกับการสวดภาวนาและความศรัทธาของลูก,เพราะบาปมากมายของลูก" "ลูกจะเพลิดเพลินกับอาหารชิ้นเล็กๆเหล่านี้ ถ้าไม่มีผ้าขี้ริ้วที่คลุมพวกมันไว้ แม่ก็รักความศรัทธาของลูกเช่นกัน แต่สำหรับบาปที่ทำให้วิญญาณของลูกแปดเปื้อนนั้น" แล้วพระแม่มารีย์ทรงหายไป ชายคนนั้นรู้สึกสะเทือนใจจากการตักเตือนของแม่พระ,เขาจึงไปสารภาพบาป ทำกิจใช้โทษบาป แล้วเขาก็ดำรงอยู่ในพระหรรษทานของพระเจ้
ที่มา: Don Bosco Horror of Sin
วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2567
ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งเลปันโต
รูปภาพข้างบนนี้คือไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งเลปันโต หากคุณสังเกตดีๆพระเยซูทรงอยู่ในตำแหน่งที่แปลก พระองค์มีพระวรกายโค้งงอในท่าทางที่ผิดธรรมชาติ โดยพระวรกายและพระบาทของพระองค์ทำให้เกิดรูปครึ่งวงกลม เรื่องราวของไม้กางเขนนี้และท่าที่แปลกของพระเยซูเกี่ยวข้องกับการสู้รบที่เลปันโต
ในปี ค.ศ. 1571 จักรวรรดิออตโตมัน/เติร์กมุสลิมโจมตีโลกคริสตชนและคุกคามอิตาลีและประเทศคริสตชนที่อยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตก พระสันตปาปาปิอุสที่ 5 ได้จัดตั้งกองเรือของพระสันตปาปาและแต่งตั้งดอน ฮวนแห่งออสเตรียเป็นผู้บัญชาการ พระสันตปาปาปิอุสที่ 5 ทรงเรียกร้องให้ชาวคาทอลิกในยุโรปสวดสายประคำ ก่อนการสู้รบ
กองเรือคริสตชนซึ่งนำโดยยอห์นแห่งออสเตรียสวดสายประคำเป็นเวลาสามชั่วโมงและรับศีลอภัยบาปหลังจากสารภาพบาป ออตโตมัน/เติร์กมีทหารมากกว่าเกือบสามเท่า ลมพัดสวนทางกับกองทัพเรือคริสตชนและสภาพแวดล้อมก็ไม่ดี แต่หลังจากที่การสวดสายประคำสิ้นสุดลง ลมในช่วงเริ่มต้นการสู้รบช่วยให้คริสตชนได้รับชัยชนะเหนือออตโตมัน/เติร์กอย่างยิ่งใหญ่ นี่เป็นหนึ่งในความพลิกผันของกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ตามตำนานเล่าว่าไม้กางเขนสีดำในรูปภาพข้างบนก็อยู่ที่นั่นด้วย อยู่บนดาดฟ้าของเรือ La Real ซึ่งเป็นเรือของยอห์นแห่งออสเตรีย ไม้กางเขนคอยปกป้องกองเรือคริสตชน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของการสู้รบ ลูกปืนใหญ่ลูกหนึ่งของออตโตมัน/เติร์กยิงมากระทบกับพระรูป แต่พระเยซูทรงเอี้ยวพระกายหลบกระสุนได้อย่างน่าประหลาดใจ กองทัพสัมพันธมิตรศักดิ์สิทธิ์ได้รับชัยชนะและหยุดการคุกคามของออตโตมันบนแผ่นดินยุโรป ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งเลปันโตปัจจุบันอยู่ในอาสนวิหารบาร์เซโลนา
พระสันตปาปาปิอุสทรงเพิ่มวันฉลองใหม่ลงในปฏิทินพิธีกรรมโรมัน โดยกำหนดให้วันที่ 7 ตุลาคมเป็นวันฉลองพระนางพรหมจารีย์มารีย์แห่งชัยชนะ ต่อมาพระสันตปาปาปิอุสผู้สืบตำแหน่งต่อจากพระสันตปาปาเกรกอรีที่ 13 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวันฉลองสายประคำศักดิ์สิทธิ์
ไม้กางเขนโบราณและตำนานอันน่าทึ่งนี้ ซึ่งอาจสร้างขึ้นตามความเชื่อและความศรัทธาที่แพร่หลาย จะถูกนำไปวางไว้ตามท้องถนนในบาร์เซโลนาในบางวัน โดยเฉพาะในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567
ครบรอบ 107 ปีการประจักษ์ที่ฟาติมา
วันที่ 13 ตุลาคม 1917 --- แม่พระทรงประจักษ์มาที่ฟาติมาเป็นครั้งที่หกและเป็นครั้งสุดท้าย --- และเกิดอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์ขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า อัศจรรย์แห่งฟาติมา ...
ในคืนวันที่ 12-13 ตุลาคม ฝนตกทั่วพื้นจนเปียกโชกและผู้แสวงบุญที่เดินทางมาจากทุกทิศทุกทางสู่ฟาติมานับหมื่นคน พวกเขาเดินทางมาโดยเท้า รถลาก และแม้กระทั่งรถยนต์ เข้าสู่แอ่งน้ำโควาเดอลาเรีย ซึ่งปัจจุบันยังคงผ่านหน้าจัตุรัสขนาดใหญ่ของมหาวิหาร จากที่นั่น พวกเขาเดินลงมาตามทางลาดที่ลาดเอียงเล็กน้อยไปยังสถานที่ที่มีการสร้างเสาและคานข้ามต้นโอ๊กขนาดเล็กๆ ปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวมี Capelhina (โบสถ์น้อย) ที่สร้างขึ้นมีกระจกและเหล็กแบบสมัยใหม่ ล้อมรอบโบสถ์น้อยแห่งแรกที่สร้างขึ้นที่นั่นและรูปปั้นแม่พระแห่งสายประคำแห่งฟาติมาซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของต้นโอ๊กขนาดเล็ก
ส่วนเด็กๆเดินทางไปที่โควาเดอลาเรียแล้ว พระแม่มารีย์ทรงสัญญาว่าจะมาถึงตอนเที่ยง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นถึงจุดสูงสุด พระแม่มารีย์ก็ประจักษ์มาตามที่บอกไว้
ลูซีอาถามแม่พระ --- "ท่านจะบอกชื่อของท่านให้ฉันทราบได้ไหมคะ?"
พระแม่มารีย์ตอบว่า --- "เราคือพระแม่มารีย์แห่งสายประคำ"
ลูซีอาถามต่อ --- "ลูกมีคำร้องขอมากมายจากหลายๆคน ท่านจะอนุญาตหรือไม่คะ?"
พระแม่มารีย์ตอบว่า --- "แม่จะอนุญาตบ้าง และปฏิเสธบ้าง ผู้คนต้องแก้ไขชีวิตของตนและขออภัยโทษสำหรับบาปของตน พวกเขาต้องไม่ทำให้พระเจ้าของเราขุ่นเคืองอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงขุ่นเคืองพระทัยมากเกินไปแล้ว!"
เมื่อพระแม่แห่งสายประคำทรงลอยขึ้นไปทางทิศตะวันออก พระนางทรงหันฝ่ามือไปทางท้องฟ้า ขณะที่ฝนหยุดตกแล้ว เมฆดำยังคงบดบังดวงอาทิตย์อยู่ ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ก็ทะลุผ่านเมฆและมองเห็นเป็นแผ่นเงินที่หมุนวนอย่างนุ่มนวล
“ดูดวงอาทิตย์!” --- ลูซีอาบอกกับฝูงชน
จากจุดนี้ ภาพที่ปรากฏมีสองแบบที่แตกต่างกัน คือ ปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ที่ผู้ชมราว 70,000 คนเห็น และปรากฏการณ์ที่เด็ก ๆ เท่านั้นที่เห็น ลูซีอาบรรยายปรากฏการณ์หลังนี้ในบันทึกความทรงจำของเธอ
หลังจากที่พระแม่มารีย์ทรงหายลับไปในระยะไกลของท้องฟ้า เราเห็นนักบุญยอแซฟกับพระกุมารเยซูและพระแม่มารีย์ที่สวมชุดสีขาวมีผ้าคลุมสีน้ำเงินอยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ นักบุญยอแซฟและพระกุมารเยซูดูเหมือนจะอวยพรโลก เพราะพวกเขาใช้มือทำเครื่องหมายไม้กางเขน เมื่อไม่นานต่อมา พระแม่มารีย์ก็หายไป ฉันเห็นพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์ ดูเหมือนพระเยซูเจ้าจะทรงอวยพรโลกในลักษณะเดียวกับที่นักบุญยอแซฟทรงทำ พระแม่มารีย์ก็หายไปเช่นกัน และฉันได้เห็นพระแม่มารีย์อีกครั้ง คราวนี้มีรูปร่างเหมือนพระแม่มารีย์แห่งคาร์เมล [มีเพียงลูเซียเท่านั้นที่เห็นภาพสุดท้ายนี้ ซึ่งเป็นสิ่งบอกเหตุว่าเธอกำลังจะเข้าในคณะคาร์เมลในอีกหลายปีต่อมา
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567
รู้สึกท้อแท้เมื่อแพ้ต่อการประจญหรือ?
เมื่อใดก็ตามที่เราล้มลง เราก็ควรวิ่งเหมือนเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมอกอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
>>>อ่านต่อ
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567
คุณค่าของความทุกข์
คณพ่อปีโอ เป็นผู้ที่ได้รับพระพรฝ่ายจิตจากสวรรค์และท่านมีความเข้าใจในชีวิตฝ่ายจิตอย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์นักพรตในคณะกาปูชิน การปฏิบัติศาสนกิจของท่านโดดเด่นด้วยการสวดภาวนาและความศรัทธา ท่านได้รับความทุกข์ทรมานตลอดเวลา ท่านได้รับแผลของการตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้า และท่านได้รับความทุกข์ทรมานจากรอยแผลเหล่านั้น ท่านยังถูกปีศาจโจมตีด้วย ข้อความด้านล่างมาจากประสบการณ์ของคุณพ่อปีโอ ซึ่งสอนเราว่าความทุกข์ทรมานของเรามีคุณค่ามหาศาลเมื่อรวมกับพระมหาทรมานของพระผู้ช่วยให้รอดของเราและด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อไปนี้เป็นคำพูดของท่านเกี่ยวกับความทุกข์
ยิ่งคุณทุกข์ทรมานมากเท่าไร พระเจ้าก็ยิ่งรักคุณมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเราทุกข์ทรมาน พระเยซูจะอยู่ใกล้เรามากขึ้น
พายุที่กำลังโหมกระหน่ำรอบตัวคุณจะกลายเป็นความรุ่งโรจน์ของพระเจ้า, เป็นบุญกุศลของคุณเอง, และเพื่อประโยชน์ของวิญญาณมากมาย”
การเสียสละทุกอย่างและความดีทุกอย่างที่คุณได้ทำนั้นจะมุ่งตรงไปที่พระเจ้าเพื่อการชำระล้างบาปของทุกคน”
การอุทิศตนอย่างแท้จริงและจริงจังประกอบด้วยการรับใช้พระเจ้าโดยไม่รับการปลอบประโลมใดๆ นี่หมายถึงการรับใช้และรักพระเจ้าเพื่อเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง”
ความเจ็บปวดที่แทบทนไม่ไหวเมื่ออยู่ในความทุกข์นั้นยังห่างไกลจากไม้กางเขนมากนัก แต่เมื่อได้มอบความเจ็บปวดจากความทุกข์ให้เข้าใกล้ไม่กางเขนของพระเยซูเจ้าแล้ว มันช่างให้ความอ่อนหวานยิ่งนัก
ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะรักพระเยซูอย่างจริงจัง สิ่งนี้จะขับไล่ความกลัวทั้งหมดออกไปจากหัวใจของเราแล้ววิญญาณจะพบว่าแทนที่จะเป็นการเดินไปในหนทางของพระเยซู,มันกลายเป็นการบินไป
- คุณพ่อปีโอ
วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2567
คุณพ่อปีโอขับไล่ปีศาจ
เมื่อสตรีคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจเข้าสิงบุกเข้าไปในซานโจวันนี คุณพ่อปีโอเดินเข้าไปหาเธออย่างใจเย็นและสามารถขับไล่ปีศาจนั้นออกไปได้
นักบุญคุณพ่อปีโอ มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างพิเศษ ทำให้ท่านสามารถกระทำอย่างใจเย็นได้เมื่อปีศาจพยายามทำให้ท่านกลัว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และในบางครั้ง ผู้ที่โดนผีสิงก็จะเข้าไปในโบสถ์ที่ซานโจวันนี รอตตันโด
ผู้เขียน C. Bernard Ruffin เล่าเรื่องต่อไปนี้ในหนังสือของเขา Padre Pio: The True Story
การรักษาอาการถูกปีศาจสิง
ตามที่ Ruffin เล่า "คุณพ่อ John Schug (1928–2002) เมื่อเขาสัมภาษณ์พระสงฆ์อาวุโสที่ซานโจวันนีไม่กี่ปีหลังจากการเสียชีวิตของคุณพ่อปีโอ, ได้ยินมาว่ามีสตรีคนหนึ่งที่ดูไม่เพียงแต่มีปัญหาทางจิตเท่านั้น ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว และดวงตาของเธอมีประกายแวววาวจนผู้คนเริ่มวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว 'ฉันเป็นเจ้าของโบสถ์แห่งนี้!' เธอกรีดร้อง
เมื่อหญิงคนนั้นเห็นรูปของนักบุญไมเคิล อัครทูตสวรรค์ เธอพูดว่า “แกไม่ได้ชนะ ข้าชนะ!”
เธอก่อความวุ่นวายขึ้นในโบสถ์จนดึงดูดความสนใจของคุณพ่อปีโอ ซึ่งกำลังฟังสารภาพบาปอยู่
ท่านออกจากห้องสารภาพบาปและผู้ดูแลโบสถ์ก็ขอร้องให้ท่านอย่าไป คุณพ่อปีโอตอบว่า “อย่ากลัว...เรากลัวปีศาจตั้งแต่เมื่อไร”
คุณพ่อปีโอเดินเข้ามาหาเธอและพูดว่า “ออกไปจากที่นั่น!”
เธอเริ่มวิงวอนคุณพ่อปีโอว่า “อย่าส่งข้าออกไปเลย อย่าส่งข้าออกไปเลย!”
ท่านบอกให้เธอไปนั่งรอที่นั่นจนกว่าท่านจะฟังสารภาพบาปเสร็จ
[จากนั้น] ท่านพบว่าผู้หญิงคนนั้นนั่งเงียบๆ ท่านจึงพาเธอไปที่ห้องสารภาพบาป เมื่อเธอออกจากห้องสารภาพบาป “ใบหน้าของเธอเหมือนทูตสวรรค์”
นักบุญคุณพ่อปีโอ เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในพลังของการสารภาพบาป และแม้กระทั่งทุกวันนี้ พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจยังคงแนะนำให้สารภาพบาปบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พลังของซาตานมีอิทธิพลต่อบุคคลใดๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)