พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2024 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสัปดาห์ที่ 4

           หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
(ลูกา 1:39-45)








วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2567

แม่พระร้องไห้แห่งซีราคิวส์


เมื่ออันโตเนียตตาและแองเจโล ลันนูโซแห่งเมืองซีราคิวส์ ประเทศอิตาลี แต่งงานกันในฤดูใบไม้ผลิปี 1953 ของขวัญแต่งงานชิ้นหนึ่งของพวกเขาคือรูปปั้นพระแม่มารีย์ขนาดเล็ก ความจริงที่ว่าพระรูปนี้ไม่ใช่ผลงานศิลปะ แต่ถูกผลิตเป็นจำนวนมากด้วยปูนปลาสเตอร์โดยโรงงานในซิซิลีและขายในราคาเพียง 3 ดอลลาร์ แต่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเจ้าสาววัย 20 ปีผู้นี้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด พระแม่มารีย์ก็คู่ควรแก่การเคารพบูชา

ไม่นานหลังจากแต่งงาน อันโตเนียตตาก็ตั้งครรภ์และเริ่มมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว อันโตเนียตตาได้มองไปที่พระแม่มารีย์ ใบหน้าของพระแม่มารีย์เต็มไปด้วยน้ำตา “มันเหลือเชื่อมาก มีอยู่ช่วงหนึ่งฉันคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ว พระนางเริ่มร้องไห้เหมือนเด็ก จากนั้นฉันก็เริ่มตะโกนว่า “La Madonnina piange [พระแม่มารีย์กำลังร้องไห้]!” แม่และน้องสะใภ้ของเธอพยายามปลอบโยนเธอเพราะคิดว่าแอนโตเนียตตาเริ่มเป็นโรคฮิสทีเรียด้วยความเจ็บปวด จากนั้นพวกเขาก็เห็นน้ำตาไหลจากพระรูปแม่พระด้วยเช่นกัน ไม่นานหลังจากที่เริ่มร้องไห้ อาการปวดหัวของแอนโตเนียตตาก็หยุดลง
เป็นเวลาสี่วัน มีฝูงชนจำนวนมากเดินผ่านอพาร์ตเมนต์ของตระกูลลันนูโซ ผู้เยี่ยมชมคนหนึ่งนำรูปปั้นลงมาจากผนังเพื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ผนังด้านหลังรูปปั้นแห้ง “ฉันคลายเกลียวรูปปั้นออกจากฐาน” เขากล่าว
“และเช็ดให้แห้งสนิท จากนั้นน้ำตาสองหยดก็เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาของพระแม่มารีย์ราวกับไข่มุก”
แม้ว่าพระรูปพระแม่มารีย์จะถูกนำไปยังสำนักงานตำรวจแล้ว การร้องไห้ก็ยังคงดำเนินต่อไปในปริมาณที่เพียงพอที่จะทำให้เครื่องแบบของตำรวจที่ถือพระรูปอยู่เปียกได้ การวิเคราะห์ทางเคมีแสดงให้เห็นว่าน้ำตานั้นคล้ายกับน้ำตาของมนุษย์ แต่ถ้าใครก็ตามที่ทุกข์ทรมานจากอาการที่ดูเหมือนจะรักษาไม่หาย เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำตามาเช็ดตัวก็อาจหายได้ ชายวัย 49 ปีที่มีแขนซ้ายพิการก็สามารถใช้แขนได้อีกครั้ง และหญิงสาววัย 18 ปีที่เคยพูดไม่ได้ก็เริ่มพูดได้
ปัจจุบันบ้านหลังเล็กบนถนน Via Deggli Orti 11 ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระแม่มารีย์ร้องไห้เป็นครั้งแรก ได้กลายเป็นห้องสวดภาวนาที่มักมีการประกอบพิธีมิสซา รูปเคารพนี้ประดิษฐานอยู่เหนือพระแท่นบูชาหลักของ Santuario Madonna Delle Lacrima ซึ่งสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อรองรับฝูงชนที่มารวมตัวกันเพื่อสวดภาวนาต่อหน้าพระรูปนี้
ทำไมพระแม่มารีย์จึงร้องไห้ มีทฤษฎีมากมายที่เตือนเราถึงน้ำตาที่พระแม่มารีย์หลั่งขณะที่อยู่เชิงไม้กางเขนและน้ำตาที่พระแม่มารีย์หลั่งที่ลาซาเล็ตต์ ในครั้งหนึ่งที่นักบุญแคทเธอรีน ลาบูเร เห็นนิมิตเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1830 นักบุญแคทเธอรีนสังเกตเห็นว่าพระแม่มารีมีท่าทีเศร้าโศกและมีน้ำตาคลอเบ้า บางทีเราควรสวดภาวนาตามถ้อยคำที่พระสันตปาปาปิอุสที่ 12 ตรัสว่า ถ้าเพียงแต่ผู้คนจะเข้าใจในภาษาลึกลับของน้ำตา . . .

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567

อิสยาห์ประกาศกแห่งคริสต์มาส


อิสยาห์เป็นประกาศกแห่งคริสต์มาส ท่านทำนายถึงการบังเกิดของพระคริสต์มากยิ่งกว่าประกาศกองค์ใด

“ดูเถิด เรากำลังทำสิ่งใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือ?”อิสยาห์ 43:19

“ชนหลายชาติจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา บรรดากษัตริย์จะเงียบงันต่อหน้าเขา เพราจะทรงเห็นสิ่งที่ไม่มีใครบอก และจะเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยได้ยิน”อิสยาห์ 52:15

“เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหาย จะทำให้ลำธารไหลบนแผ่นดินที่แห้งแล้ง” อิสยาห์ 44:3

“ถิ่นทุรกันดารและแผ่นดินที่แห้งแล้วจงยินดีเถิด” อิสยาห์ 35:1

“และเขาจะพูดในวันนั้นว่า นี่คือพระเจ้าของเรา ผู้ซึ่งเราหวังว่าจะทรงช่วยเราให้รอดพ้น เราจงชื่นชมยินดีที่พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นเถิด” อิสยาห์ 25:9

“ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานเครื่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย และนางจะเรียกเขาว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา”อิสยาห์ 7:14

“ประชากรที่เดินอยู่ในความมืดจะแลเห็นความสว่างอันยิ่งใหญ่ บรรดาผู้อาศัยในแผ่นดินมืดมิด ความสว่างส่องแสงมาเหนือเขา” อิสยาห์ 9

“เราจะจูงคนตาบอดให้เดินไปตามทางที่เขาไม่รู้จัก เราจะเปลี่ยนความมืดให้เป็นความสว่างต่อหน้าเขา” อิสยาห์ 42:16

“บรรดาทหารยามของท่านร้องเสียงดัง ร้องตะโกนพร้อมกันด้วยความยินดี เพราะเขาได้เห็นกับตาว่า พระยาห์เวห์เสด็จกลับสู่ศิโยน” อิสยาห์ 52:8

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระสันตปาปารอดพ้นจากการลอบสังหารสองครั้ง


พระสันตะปาปาฟรังซิสระหว่างการเยือนอิรักในปี 2021

จาก The London Guardian:

พระสันตปาปาฟรานซิสตรัสว่าพระองค์รอดพ้นจากเหตุการณ์ระเบิดฆ่าตัวตายสองครั้งระหว่างการเยือนอิรักเมื่อ 3 ปีก่อน หลังจากความพยายามลอบสังหารพระองค์ถูกขัดขวางโดยหน่วยข่าวกรองอังกฤษและตำรวจอิรัก

พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเปิดเผยเรื่องนี้ในอัตชีวประวัติของพระองค์ที่จะออกในเร็วๆ นี้ชื่อ Spera (Hope) ซึ่งได้แบ่งปันข้อความบางส่วนกับสำนักข่าว Corriere della Sera ในวันอังคาร ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด 88 ปีของพระสันตปาปาฟรังซิส พระองค์ตรัสว่าพระองค์ได้รับคำแนะนำอย่างหนักแน่นไม่ให้เดินทางไปอิรักในเดือนมีนาคม 2021 ซึ่งเป็นครั้งแรก เนื่องจากโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดและมีความเสี่ยงสูงด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะในเมืองโมซุล เมืองทางตอนเหนือที่กองกำลังติดอาวุธรัฐอิสลามที่ทำลายล้าง ในการเล่าเหตุการณ์ของพระองค์ หน่วยข่าวกรองอังกฤษได้แจ้งตำรวจอิรักเกี่ยวกับแผนการวางระเบิดทันทีที่พระสันตปาปาฟรังซิสเสด็จมาถึงกรุงแบกแดด และตำรวจอิรักก็ได้แจ้งรายละเอียดเรื่องนี้แก่หน่วยรักษาความปลอดภัยของทางวาติกันด้วย

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เมื่อความตายมาถึง


ผู้ที่มอบความตายของตนแด่พระเจ้า ถือเป็นการกระทำแห่งความรักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งพวกเขาสามารถทำได้ เพราะด้วยการโอบรับความตายที่พระเจ้าพอพระทัยที่จะส่งมาด้วยความยินดี และในเวลาและวิธีการที่พระเจ้าส่งมา พวกเขาได้แสดงตนเสมือนเป็นมรณสักขีผู้ศักดิ์สิทธิ์

St. John Chrysostom

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2567

บวชเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุ 75


เขาเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงระดับโลกและศาสตราจารย์จากเคมบริดจ์ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์คาทอลิกที่อาสนวิหารเซนต์จอห์นในเมืองนอริชเมื่อวันที่ 21 กันยายน แม้ว่าจะมีอายุมากกว่าอายุเกษียณตามกำหนดไว้สำหรับพระสงฆ์ของสังฆมณฑลก็ตาม

 จอห์น มอร์ริลล์ วัย 78 ปี ซึ่งเคยเป็นสังฆานุกรมาเป็นเวลา 28 ปี ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์โดยบิชอปปีเตอร์ คอลลินส์ โดยมีพระสงฆ์, ครอบครัว, เพื่อน, นักศึกษาเก่า, และเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย250 คนร่วมในพิธีนี้ด้วย เว็บไซต์ของสังฆมณฑลอีสต์แองเกลียระบุว่า “ชายผู้นี้ได้ยินเสียงพระเจ้าเรียกเขาหลายครั้ง เขาเป็นคนที่ตอบรับการเรียกของพระเยซูอย่างเต็มใจในหลายๆวิธีตลอดชีวิตของเขา” บิชอปปีเตอร์กล่าวในการเทศน์ของท่าน พร้อมกับเน้นย้ำถึงบทบาทของภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วของมอร์ริลล์ “ผู้ซึ่งเป็นครูคำสอนที่แท้จริงของเขาในความเชื่อคาทอลิก”

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พึงระวังความสนิทสนมอันเกินควร




อย่าเปิดเผยใจของท่านแก่ทุกคน แต่จงปรึกษาเรื่องของท่านกับผู้มีปรีชา และผู้ยำเกรงพระเจ้าเถิด. จงติดต่อกับคนหนุ่มสาวแต่นานๆ ครั้ง ทั้งคนนอก(=คนชาวโลก)ด้วย.

อย่าประจบคนรวย และอย่าชอบแสดงตัวต่อหน้าคนใหญ่คนโต. จงคบหาคนสุภาพ คนซื่อ คนศรัทธา และคนอยู่ในศีลสัตย์. จงสนทนากับเขาในเรื่องปลุกศรัทธา. อย่าสนิทสนมกับสตรีคนใดคนหนึ่ง แต่จงฝากฝังสุภาพสตรีคนดีทั่วๆ ไปไว้กับพระเจ้า. จงปรารถนาสนิทสนมเฉพาะกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และทูตสวรรค์ของพระองค์.

จงหลีกเลี่ยงการหาวิธีให้มนุษย์มารู้จักตน.  

♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡

ความรัก เราต้องมีต่อทุกคน แต่ความสนิทสนมนั้น ไม่เหมาะสม. บางครั้ง อาจเกิดขึ้นได้ คนที่เราไม่รู้จัก ได้ยินแต่ชื่อเสียงของเขา เราก็นับถือเขา แต่ครั้นเขามาอยู่ต่อหน้า เรากลับคลายความนับถือ.  

บางครั้ง เราคิดว่า ถ้าเราไปติดต่อกับเขาบ่อยๆ เขาคงยินดี แต่เรื่องกลับตาลปัตร เขาเริ่มกระอักกระอ่วน เพราะสังเกตเห็นตำหนิในตัวเรา.  

โดย Thomas a Kempis:แปลโดย ผู้หว่าน  

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567

การเดินขบวน 200 วัน


มันเป็นคืนที่มืดมิด และผู้คนไม่สามารถหาทางกลับประเทศของตนได้อีกต่อไป
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2567

การเทศน์ของคุณพ่อบอสโก


ให้ข้อคิดว่า เราจะประยุกต์ใช้วิธีการของคุณพ่อบอสโกในเรื่องการเทศน์ได้อย่างไร?
>>>อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ความทรมานจากบาปแห่งลิ้น


พระสงฆ์โดมินิกันชื่อดูแรนด์(Durand) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ดีมาก เขาเข้ากับคนง่ายแต่พูดมากเกินไป เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องอารมณ์ขันที่ขัดต่อความรัก และแม้ว่าอธิการของเขาจะตักเตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังคงพูดตามความเคยชินจนถึงขนาดที่ขาดความรักต่อผู้ฟังและบางทีก็ต่อคนที่เขาล้อเล่นด้วย เขาแตกต่างอย่างมากจากลาคอร์แดร์(Lacordaire)แห่งโดมินิกันที่มีชื่อเสียงซึ่งพูดจาไพเราะ,พูดจาอย่างยุติธรรมและมีเหตุผลเสมอ (ภาพด้านบน) ดูแรนด์ซึ่งเป็นนักพรตโดมินิกันซึ่งเป็นคณะนักเทศน์,เขาอาจคิดว่าตนเองสามารถพูดได้มากเท่าที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะเขามักพูดจาโดยไม่ระวัง

หลังจากที่เขาเสียชีวิต เขาก็ปรากฏตัวต่อเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักบวชเหมือนกันและขอให้พวกเขาสวดภาวนาอุทิศแก่เขา หนังสือที่ฉันอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ระบุว่านักบวชคนนั้นเป็นนักบวชหรือซิสเตอร์ ดูรันด์ถูกทรมานอย่างโหดร้ายในไฟชำระเพราะวิธีที่เขาทำให้คนอื่นทรมานด้วยการพูดจาเยาะเย้ยไม่หยุดหย่อน เมื่อในคณะโดมินิกันรับรู้ถึงความทุกข์ยากของดูรันด์ จึงพวกเขาทำพลีกรรมรักษาความเงียบเป็นเวลา 8 วันและทำกิจกุศลอุทิศให้แก่ดูรันด์ หลังจากนั้นไม่นาน ดูรันด์ก็ปรากฏตัวและบอกให้รู้ว่าเขาพ้นโทษแล้วและกำลังจะขึ้นสวรรค์: 

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ความครบครันโดยความอดทน


ความดีครบครันเกิดขึ้นได้จากกระบวนการของการชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์

กระบวนการนี้จำเป็นที่เราต้องฟังและนบนอบเสียงของพระจิตเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นต่อจิตวิญญาณของเรา และเกี่ยวกับวิธีที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งอาจต้องมีความอดทนต่อความทุกข์ (ทุกรูปแบบ) แต่ในท้ายที่สุด หากเราซื่อสัตย์ต่อเสียงของพระจิต, เราจะได้ยินพระบิดาตรัสด้วยความยินดีว่า “ดีมาก!”

ความทุกข์อาจทำให้จิตใจของเราแข็งกระด้างต่อพระเจ้า หรืออาจทำให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระองค์อย่างสุดจิตใจมากขึ้น, ขึ้นอยู่กับเรา เมื่อเกิดความยากลำบาก, จงอย่าบ่น แต่ให้พูดว่า พระเจ้าข้า, โปรดแสดงให้ลูกเห็นถึงสิ่งที่ลูกสามารถทำได้เพื่อให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ด้วยเทอญ

“ผู้ที่ซักเสื้อของตนก็เป็นสุข เขาจะมีสิทธิ์กินผลจากต้นไม้แห่งชีวิต และผ่านประตูเข้าไปในนครนั้นได้” (วิวรณ์ 22:14 )

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2567

คำทำนายของอิสยาห์เป็นจริง


ดินเผาโบราณรูปทรงรีนี้เป็นหลักฐานยืนยันเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ซึ่งเขียนไว้เมื่อปี 538 ก่อนคริสตศํกราช,กรุงเยรูซาเล็มล่มสลายจากการโจมตีของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์และชาวยิวถูกจับตัวไปเป็นทาสที่กรุงบาบิโลนเป็นเวลานาน 70 ปี ต่อมากษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียมีอำนาจขึ้นแทนที่บาบิโลน พระองค์ได้ออกกฤษฏีกาปลดปล่อยชาวยิวทั้งหมดให้กลับไปเยรูซาเล็มและก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากที่ กษัตริย์ไซรัส ซึ่งเป็นชาวต่างชาติทำเช่นนี้ และเป็นสาหตุทำให้มีข้อสงสัยในความถูกต้องของพระคัมภีร์ แต่ในปี 1879 เรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันเมื่อนักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานจากเครื่องปั้นดินเผาโบราณรูปทรงกลมรีซึ่งมีอายุย้อนไปในปี 538 ก่อน ค.ศ.และในดินเผานี้มีอักษรจารึกซึ่งเขียนว่าไซรัสได้ออกกฤษฏีกาให้ชาวยิวที่ถูกจับกุมกลับไปเยรูซาเล็มและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เป็นการยืนยันว่าข้อความในพระคัมภีร์ถูกต้องแน่นอน แต่ยังมีสิ่งที่น่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีกก็คือ ประกาศกอิสยาห์ ได้ทำนายถึงเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วถึง 150 ปี นั่นคือในปี 740 ก่อน ค.ศ. และก่อนไซรัสเกิด อิสยาห์ได้ทำนายว่าจะมีการสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่ (อิสยาห์ 44:26) นอกจากนี้อิสยาห์ยังได้เอ่ยถึงไซรัสด้วยชื่อของเขาเลยทีเดียว ถ้าคุณไม่เชื่อผม? ลองไปอ่านหนังสืออิสยาห์ 44:28 ด้วยตัวคุณเอง

#Catholic 4 Life

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ผู้ทนทุกข์เพื่อให้คนบาปกลับใจ


คนจำนวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา – รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ชีวิตของคุณพ่อปีโอ


คุณพ่อปีโอ เคยพูดว่า “พ่อขอบอกกับคุณบ้าง คุณมาในโลกนี้เหมือนกับที่พ่อมา, พ่อมาพร้อมกับภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ… พ่อเองในฐานะพระสงฆ์นักบวช มีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ ในฐานะนักบวชกาปูชิน พ่อมีภารกิจในการรับใช้พระเจ้าด้วยความรักอย่างสมบูรณ์และเปี่ยมด้วยความรักต่อกฎเกณฑ์ของคณะและคำปฏิญาณของพ่อ ในฐานะพระสงฆ์,ภารกิจของพ่อคือการรับใช้พระเจ้าผ่านทางครอบครัวมนุษย์”

ความรักของพระคริสต์ผลักดันให้คุณพ่อปีโออุทิศตนอย่างเต็มที่ทุกวันเพื่อวิญญาณที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอบพระองค์เองเพื่อเขา

คุณพ่อปีโอพูดกับบางคนว่า “พ่อเติมแต่งชีวิตลูกด้วยความเจ็บปวดในความรัก” คุณพ่อปีโอเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตา: ความเจ็บปวดและความรักดำเนินไปในแสงสว่างของไม้กางเขนของพระคริสต์ พระเยซูทรงแสดงความรักของพระองค์ ไม่เพียงแต่สำหรับคนบาปและผู้ที่อยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนยากจน คนป่วย คนที่ถูกกีดกันในสังคม ซึ่งทำให้ชาวยิวที่ติดตามพระองค์พูดว่า “คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยินและคนใบ้กลับพูดได้” (มก. 7:37)

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ข้อคิดฝ่ายจิตจากคุณพ่อปีโอ


ชีวิตของคริสตชนเป็นเพียงการต่อสู้กับตนเองอย่างไม่หยุดพัก จิตวิญญาณจะไม่เบ่งบานเพื่อไปสู่ความสมบูรณ์ครบครัน เว้นแต่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด

เมื่อพูดถึงการประจญล่อลวง คุณพ่อปีโอกล่าวว่า “หากคุณเอาชนะการประจญล่อลวงได้สำเร็จ นั่นจะมีผลเหมือนกับการซักเสื้อผ้าที่สกปรก”

ครั้งหนึ่งคุณพ่อปีโอพูดว่า “ผู้ใดที่ไม่ทำการพิจารณาไตร่ตรองชีวิต(meditate) เขาก็เหมือนกับคนที่ไม่เคยส่องหน้าในกระจกเงาก่อนออกไปข้างนอก โดยไม่สนใจที่จะดูว่าตัวเองสะอาดหรือไม่ และเขาอาจออกไปข้างนอกในสภาพสกปรกโดยไม่รู้ตัว”

“ผู้ที่ทำการพิจารณาไตร่ตรองชีวิตตนเองและหันจิตใจของเขาไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกระจกเงาของจิตวิญญาณของเขา เพื่อช่วยให้เขาแสวงหาที่จะรู้ข้อบกพร่องของตนเอง, พยายามแก้ไข, ระงับแรงกระตุ้นของตนเอง และจัดระเบียบจิตสำนึกของตนเอง”

วันหนึ่ง มีคนถามคุณพ่อปีโอว่า “เราจะแยกแยะระหว่างการประจญและบาปได้อย่างไร? และเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ตกอยู่ในบาป?” คุณพ่อปีโอยิ้มและตอบว่า “เราจะแยกแยะระหว่างลากับมนุษย์ที่รู้จักเหตุผลได้อย่างไร”

“ลาปล่อยให้ตัวมันเองถูกนำทางไป แต่มนุษย์ที่รู้จักเหตุผลเป็นผู้นำทาง”

“ถูกต้อง” คุณพ่อปีโอตอบ

“แต่ทำไมเมื่อการประจญผ่านไปแล้วจึงยังมีความรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ล่ะครับ?”

คุณพ่อปีโอตอบว่า “ฟังนะ พ่อจะขอยกตัวอย่างให้คุณฟัง คุณเคยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวหรือไม่ ขณะที่ทุกอย่างสั่นสะเทือน คุณก็สั่นไหวเช่นกัน แต่คุณไม่ได้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง”

ที่มา: Padre Pio The stigmatist

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ทางที่จะไปสวรรค์มีเพียงทางเดียว


ทางที่จะไปสวรรค์ไม่ได้มีมากมายนัก มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้ นั่นคือผ่านทางความเชื่อในพระคริสต์และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ผมรู้ว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน หลายคนคิดว่ายังมีเส้นทางอื่นที่จะไปสวรรค์ได้ มหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์บริจาคทรัพย์สินสุทธิร้อยละ 85 ให้กับการกุศล โดยกล่าวว่า “มีมากกว่าหนึ่งวิธีที่จะไปสู่สวรรค์ได้ แต่สิ่งที่ผมทำนี้เป็นหนทางที่ดี” ผมขอชื่นชมบัฟเฟตต์สำหรับความเอื้อเฟื้อของเขา แต่เขาจะต้องประหลาดใจเมื่อเขาค้นพบว่าเขาไม่สามารถใช้การบริจาคเป็นหนทางไปสู่สวรรค์ได้ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสู่สวรรค์ได้ นั่นคือผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ภารกิจของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์


คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกในข้อ 336 สอนว่า “ตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งตาย ชีวิตของมนุษย์ถูกล้อมรอบด้วยการดูแลเอาใจใส่และการวิงวอนของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์”

เราได้รับการคุ้มครองและเฝ้าระวังจากทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ของเราแม้ในขณะที่เราเสียชีวิต ทูตสวรรค์เหล่านี้ไม่ได้อยู่กับเราเพียงในชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น แต่พวกเขายังดูแลเอาใจใส่เราถึงในชีวิตหน้าด้วย

เราต้องเข้าใจว่าทูตสวรรค์ “พระองค์ทรงส่งมารับใช้ผู้ที่จะต้องได้รับความรอดพ้น” (ฮีบรู 1:14) ในทำนองเดียวกัน นักบุญบาซิลสอนว่าไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “มีทูตสวรรค์คอยปกป้องและเลี้ยงดูผู้มีความเชื่อทุกคนเพื่อนำเขาไปสู่ชีวิต” (CCC 336)

ดังนั้นภารกิจหลักของทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์คือการช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้น นั่นคือ นำเราทุกคนเข้าสู่ชีวิตแห่งการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ภารกิจนี้รวมถึงความช่วยเหลือขณะที่วิญญาณไปปรากฏตัวต่อหน้าพระเจ้าด้วย

บรรดาปิตาจารย์แห่งพระศาสนจักรพูดถึงภารกิจนี้ว่าทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์อยู่กับวิญญาณในช่วงเวลาแห่งความตาย และปกป้องวิญญาณจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของปีศาจ

นักบุญอาลอยซีอุส กอนซากา (1568–1591) กล่าวว่าในช่วงเวลาที่วิญญาณออกจากร่างกาย วิญญาณจะได้รับการติดตามและปลอบโยนจากทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์เพื่อให้วิญญาณสามารถปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้าได้อย่างมั่นใจ ตามคำกล่าวของนักบุญนี้ ทูตสวรรค์จะพูดถึงพระเมตตาของพระคริสต์เพื่อให้วิญญาณได้รับความบรรเทาในช่วงเวลาแห่งการพิพากษา, เมื่อผู้พิพากษาทรงตัดสินให้วิญญาณถูกส่งไปยังไฟชำระ

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ปรีชาญาณจากนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา



“. . . มันจะเป็นการอวดดีและทะนงตนที่จะเลือกเส้นทางของตนเอง เพราะดิฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเส้นทางใดดีที่สุดสำหรับดิฉัน ดิฉันต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระเจ้าผู้ทรงรู้จักดิฉัน ทรงนำดิฉันไปในเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน เพื่อว่าในทุกสิ่ง, พระประสงค์ของพระองค์จะได้สำเร็จ”

“บ่อยครั้งที่ปีศาจจะทำให้เราคิดถึงเรื่องใหญ่ๆ เพื่อว่าแทนที่เราจะลงมือทำอะไรก็ตามที่สามารถทำได้เพื่อรับใช้พระเจ้า, เรากลับจะพอใจและปรารถนาที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ”

“ผู้เป็นที่รักของเราพระองค์นี้ทรงมีพระเมตตาและทรงความดี นอกจากนี้ พระองค์ยังปรารถนาความรักของเราอย่างที่สุดจนเรียกเราให้เข้ามาใกล้พระองค์ เสียงของพระองค์ช่างไพเราะจนวิญญาณที่น่าสงสารต้องแตกสลายเมื่อเผชิญกับความไม่สามารถของตนเองในการทำทุกอย่างที่พระองค์ขอให้เธอทำได้ทันที ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่าการได้ยินพระองค์เจ็บปวดมากกว่าการไม่ได้ยินพระองค์เสียอีก... ในตอนนี้ เสียงของพระองค์มาถึงเราผ่านถ้อยคำที่คนดีพูด ผ่านการฟังคำเทศน์สอนฝ่ายจิต และการอ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าทรงเรียกเราด้วยวิธีเล็กๆน้อยๆมากมายตลอดเวลา ผ่านความเจ็บป่วย ความทุกข์ และความเศร้าโศก พระองค์ทรงเรียกเราผ่านความจริงที่แวบเข้ามาในเวลาที่เราสวดภาวนา ไม่ว่าความเข้าใจดังกล่าวจะจริงใจเพียงใดก็ตาม พระเจ้าจะทรงชื่นชมยินดีทุกครั้งที่เราเรียนรู้สิ่งที่พระองค์พยายามสอนเรา”  

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2567

นักบุญเทเรซาเห็นพระเยซูเจ้า


มันเป็นแสงที่ไม่มีวันจืดจาง, เป็นความจริงใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวาน
>>>อ่านต่อ