ในปี ค.ศ. 1955
หลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศมหาอำนาจเหลือเพียง 2 ประเทศ คือ
สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต โลกแบ่งเป็นสองขั้วอย่างชัดเจนคือ
เสรีประชาธิปไตย และคอมมิวนิสต์
ทั้งสองขั้วไม่มีความไว้วางใจกันเลย
หลังสงครามโลกสหรัฐถอนทหารออกจากประเทศในยุโรปตะวันออก ส่วนโซเวียตยังคงทหารเอาไว้และยังเพิ่มทหารเข้าไปในกรีกและตุรกี
ทำให้โซเวียตยึดครองประเทศในยุโรปตะวันออกได้จำนวนมาก
ยังเกิดเหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ขึ้น ในสมัย ประธานาธิบดีเคนเนดี
อเมริกาพยายามแทรกแซงการเมืองภายในของคิวบาด้วยการพยายามโค่นล้มอำนาจของคาสโตรในการยกพลขึ้นบกที่อ่าวหมู
ซึ่งล้มเหลว เป็นช่องทางให้โซเวียต โดยครุสชอฟ
ใช้ความอ่อนแอของอเมริกาในการไม่ตัดสินใจเด็ดขาดด้วยการ
สร้างฐานยิงขีปนาวุธที่คิวบา และขนส่งขีปนาวุธมาจากโซเวียตทางเรือ
เนื่องจากเชื่อว่า อเมริกาจะต้องขอเจรจา แต่เมื่อ ประธานาธิบดีเคนเนดี
ออกแถลงการณ์ให้โซเวียตถอนเรือกลับโซเวียตและถอนฐานยิงขีปนาวุธออก
ไม่อย่างนั้นอเมริกาจะทำสงครามเต็มรูปแบบกับโซเวียต
ท่ามกลางความตึงเครียดนี้โซเวียตตัดสินใจถอยออกจากการปฏิบัติภารกิจและกลับโซเวียต โลกจึงรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ไปได้
เกิดสงครามภายในประเทศต่างๆ
เช่น เกาหลี เวียตนาม ลาว กัมพูชา วิกฤตการณ์คลองสุเอส ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายไปในหลายประเทศ
กลับมาที่โปแลนด์
รัฐบาลโปแลนด์ออกนโยบายให้ประชาชนใช้คูปองสำหรับการปันส่วน
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจที่วางแผนไว้ที่ส่วนกลางได้รับการแนะนำโดย
รัฐบาลคอมมิวนิสต์ซึ่งไม่ยอมให้มีการครอบครองทรัพย์สินส่วนบุคคลในอุตสาหกรรมหรือในส่วนงานบริการ
นโยบายของรัฐบาลทำให้ความสามารถในการทำกำไรและความคิดริเริ่มในอุตสาหกรรมต้องสูญเสียไป
ระดับการบริการลดต่ำลง และมีการปันส่วนอาหาร
คิวที่ด้านหน้าของร้านขายของชำ