ครั้งหนึ่งในปี 1949 คุณพ่อปีโอพูดกับนายแพทย์คนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกับท่านมาก ทั้งสองคุยกันเรื่องการสวดภาวนาเพื่อคนที่เสียชีวิตไปแล้ง คุณพ่อปีโอพูดกับเขาว่า “บางทีคุณคงไม่รู้ว่าแม้แต่ในตอนนี้พ่อก็ยังสามารถสวดภาวนาให้ปู่ทวดของพ่อให้พวกท่านตายอย่างมีความสุขได้!” แต่นายแพทย์กลับตั้งข้อสังเกตว่าปู่ทวดของคุณพ่อปีโอเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว และคุณพ่อปีโอจะสวดภาวนาเพื่อให้คนเหล่านั้นเสียชีวิตอย่างดีได้อย่างไร? แล้วคุณพ่อปีโอก็อธิบายว่า “เพราะว่าอดีตไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งคือปัจจุบันชั่วนิรันดร์ คำภาวนาเหล่านี้ได้รับการพิจารณาด้วย ดังนั้นพ่อจึงขอย้ำอีกครั้งว่าแม้ในตอนนี้พ่อก็สามารถสวดภาวนาให้ปู่ทวดของพ่อให้พวกท่านเสียชีวิตอย่างมีความสุขได้!”
Pages
พระเมตตาของพระเยซูเจ้า
จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2025 สมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์
  ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม สืบถามว่า “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์ เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า ซึ่งจะเป็นผู้นำอิสราเอล ประชากรของเรา”
  ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ดาวปรากฏ แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงกำชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมารอย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่งนำทางให้ และมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสถานที่ประทับของพระกุมาร เมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งบรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนัก เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำ กำยาน และมดยอบออกมาถวายพระองค์ แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น
(มัทธิว 2:1-12)
พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2025 สมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์
  ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม สืบถามว่า “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์ เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า ซึ่งจะเป็นผู้นำอิสราเอล ประชากรของเรา”
  ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ดาวปรากฏ แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงกำชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมารอย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่งนำทางให้ และมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสถานที่ประทับของพระกุมาร เมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งบรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนัก เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำ กำยาน และมดยอบออกมาถวายพระองค์ แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น
(มัทธิว 2:1-12)
วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2566
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566
คำพูดของนักบุญ
ยุคสมัยใหม่ถูกครอบงำโดยซาตาน และมันจะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
มนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับความขัดแย้งกับนรกนี้ได้,แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุด
แม่พระปฏิสนธินิรมลแต่เพียงผู้เดียวที่ทรงได้รับพระสัญญาจากพระเจ้าว่าจะมีชัยชนะเหนือซาตาน
อย่างไรก็ตาม,พระนางทรงถูกยกขึ้นสู่สวรรค์แล้ว
เวลานี้,พระมารดาของพระเจ้าทรงต้องการความร่วมมือของพวกเรา
พระนางแสวงหาวิญญาณที่ถวายตัวของพวกเขาทั้งครบแด่พระนาง
ผู้ซึ่งจะกลับกลายเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพในพระหัตถ์ของพระนางเพื่อที่จะพิชิตซาตาน
และแพร่กระจายพระอาณาจักรของพระเจ้าไปบนแผ่นดินโลก
- คุณพ่อแม็กซิมิเลียน โคลเบ
“
วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2566
วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566
วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2566
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2566
เชื่อมต่อขาที่ขาด
นักบุญแอนโทนี,ระหว่างเดินทางไปอิตาลีโดยผ่านสเปนเพื่อไปเทศน์ที่เมืองเลริดา(Lerida) เมืองนี้อยู่บริเวณชายแดนสเปนและอิตาลี
มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเลโอนาร์โดอาศัยอยู่ในเมืองนี้ และเขาใช้ชีวิตในบาป วันหนึ่งแม่ของเขาพยายามแนะนำเขาให้ดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น และเมื่อเธอพูดกับเขาเช่นนั้น เขาก็โกรธ เขาผลักเธอล้มลงอย่างรุนแรงด้วยความโกรธและเตะเธอด้วย แม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่เขาก็ยังนึกถึงโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆ และไปที่นั้น แอนโทนี่กำลังเทศน์สอนผู้คนอยู่ คำเทศนามีผลทำให้ชายหนุ่มผ่อนคลายและคิดถึงชีวิตของเขาด้วย เขาตระหนักว่าเขาใช้ชีวิตแบบคนชั่วและตัดสินใจสารภาพบาปกับแอนโทนีและขออภัยบาป
เมื่อเขาสารภาพบาปกับแอนโทนี เขาเล่าสิ่งที่เขาทำกับแม่ของเขา แอนโทนีบอกเขาว่าการชดเชยใช้โทษบาปของเขาก็คือให้ตัดสิ่งที่เขากระทำต่อแม่ของเขา ชายหนุ่มผู้กลับใจยอมรับคำพูดของแอนโทนีอย่างจริงจัง เมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาก็ใช้ดาบตัดขาของเขาออก
แม่ของเขาเห็นการกระทำอันน่าสยดสยองของลูกชายก็ตกใจและโศกเศร้า เธอถามลูกชายของเธอว่าทำไมเขาถึงทำร้ายตัวเองขนาดนี้ และเขาบอกเธอว่าเขาทำตามคำแนะนำของแอนโทนี หลังจากทราบข่าวจากลูกชายว่าแอนโทนีอยู่ที่ไหน เธอจึงรีบไปโบสถ์และร้องไห้ไปตลอดทาง เมื่อไปถึงโบสถ์เธอบอกแอนโทนีถึงสิ่งที่ลูกชายของเธอทำ แอนโทนีรู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่น่าเศร้าของเธอ เขาอธิบายให้เธอฟังอย่างอดทนว่าท่านขอให้เขาตัดชีวิตที่บาปของเขา ไม่ใช่ตัดขาของเขา เขาปลอบเธอโดยบอกเธอว่าลูกชายของเธอจะได้รับของขวัญชิ้นใหญ่อย่างแน่นอนสำหรับการกลับใจ และบอกว่าจะไปที่บ้านเธอพร้อมกับเธอ
เมื่อแอนโทนีมาถึงบ้านของหญิงผู้นั้น,เขาก็เห็นลูกชายนอนอยู่บนกองเลือด,บิดตัวด้วยความเจ็บปวด, มือข้างหนึ่งมีขาขาดและมีดาบอยู่อีกข้างหนึ่ง แอนโทนีหยิบขาที่ถูกตัดแล้ววางไว้ตรงจุดที่ถูกตัดแล้วทำเครื่องหมายไม้กางเขนไว้บนนั้น กระดูกที่หักกลับมารวมกันอีกครั้ง และเนื้อที่ถูกตัดออกก็กลับมารวมกันอีกกลายเป็นขาทั้งหมด การไหลเวียนโลหิต ณ จุดนั้นก็กลายเป็นปกติเช่นกัน ชายหนุ่มที่กลับใจลุกขึ้นยืนทันทีและเดินเหมือนคนปกติ เขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าและแอนโทนี่อย่างมาก
วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566
บันไดสวรรค์
ในชีวประวัติของนักบุญโดมินิก (1170-1221) ยังมีการกล่าวถึงบันไดสวรรค์ด้วย เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่คุณพ่อกัวโล โรมาโนนิ(Guallo Romanoni) อธิการของอาราม Friars Preachers ในเมืองเบรสเชีย(Brescia) ได้เผลอหลับไปโดยพิงอยู่ที่หอระฆังในโบสถ์ของท่าน และท่านก็ฝันไป,ในความฝันท่านเห็นบันไดสองอันพาดลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน ที่ด้านบนสุดของบันไดอันหนึ่งคือพระเยซูเจ้า และที่ด้านบนสุดของบันไดอีกอันหนึ่งคือพระมารดาของพระองค์ เหล่าทูตสวรรค์เดินขึ้นๆลงๆบนบันไดทั้งสอง และที่ปลายด้านล่างของบันไดมีผู้หนึ่งที่แต่งกายนักบวชยืนอยู่ แต่ใบหน้าของเขาถูกคลุมด้วยหมวกของเสื้อคลุม ตามแบบที่นักบวชทั้งหลายทำในการคลุมหน้าของผู้ตายเวลาที่พวกเขาจะนำผู้ตายไปฝังศพ แล้วบันไดก็ถูกลากขึ้นสู่สวรรค์ และคุณพ่อโรมาโนนีเห็นนักบวชที่ไม่รู้จักคนนั้นถูกรับขึ้นไปเข้าร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์,รายล้อมไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์อันเจิดจ้า และอยู่แทบพระบาทของพระเยซู เมื่อคุณพ่อโรมาโนนีตื่นขึ้นมาก็รู้สึกงุนงงกับความหมายของนิมิตความฝันนี้ แต่ในไม่ช้าท่านก็รู้ว่าในเวลาเดียวกันกับที่ท่านฝัน,นักบุญดอมินิกได้สิ้นชีวิตในเมืองโบโลญญา
ที่มา: Angels and Devils
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)