พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม 2025 อุปมาเรื่องเศรษฐีโง่เขลาและความโลภ

          ประชาชนคนหนึ่งทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระอาจารย์ โปรดบอกพี่ชายข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด’ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเราเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกของท่าน แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า ‘จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม’ พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า ‘เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก เขาจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน” เขาคิดอีกว่า “ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้ แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า “ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด” แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเองแต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้”
(ลูกา 12:13-21)








วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

ถ้ำฝังพระศพของแม่พระ


              โบสถ์แห่งการกลับคืนชีพของพระนางมารีย์ และเป็นถ้ำฝังพระศพของพระนางด้วย อยู่ในหุบเขากิดโรน Kidron Valleyซึ่งอยู่เชิงเขามะกอก ในกรุงเยรูซาเล็ม
            ตามธรรมประเพณีของคริสต์ศาสนาตะวันออกกล่าวว่า พระนางพรหมจารีย์มารีย์ทรงสิ้นพระชนม์ตามธรรมชาติ หรือนิยมเรียกว่า ทรงบรรทม เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป บรรดาอัครสาวกได้ฝังพระศพของพระนางไว้ในคูหา ในวันที่สามพระคริสต์ทรงทำให้พระนางทรงกลับคืนพระชนม์ขึ้นมาและทรงนำพระนางขึ้นสู่สรวงสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ
            โทมัสไม่ได้อยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเวลาที่ฝังพระศพ เมื่อเขามาถึงกรุงเยรูซาเล็มในวันที่สามหลังจากฝังพระศพ เขาจึงไปเยี่ยมพระศพพร้อมกับอัครสาวกคนอื่นๆ แต่ได้พบว่าพระคูหาว่างเปล่า จึงเชื่อว่าพระนางพรหมจารีย์มารีย์ได้กลับคืนพระชนม์เหมือนพระเยซูเจ้าและถูกนำขึ้นสู่สวรรค์
            แต่บางคนเชื่อว่าพระนางมารีย์มิได้สิ้นพระชนม์ พระนางเพียงแต่หลับไปและดูเหมือนกับสิ้นพระชนม์เท่านั้น
            ในหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ Euthymiaca Historia (อาจเขียนขึ้นโดย ซีริลแห่ง Scythopolis ในศตวรรษที่ 5) กล่าวว่า จักรพรรดิมาร์เชี่ยนและภริยา Pulcheria ได้ขอพระธาตุของพระนางพรหมจารีย์มารีย์จากพระอัยกาแห่งเยรูซาเล็ม Juvenal ในเวลานั้นพระอัยกาอยู่ในการประชุมแห่ง Chalcedon (451). และพระอัยกาได้ตอบจักรพรรดิไปว่า ในวันที่สามหลังจากพระนางพรหมจารีย์มารีย์ถูกฝังพระศพแล้ว ได้ค้นพบว่าพระคูหาของพระนางว่างเปล่า เหลือเพียงแต่ผ้าคลุมพระศพเท่านั้นซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในโบสถ์แห่งเก็ธเซมานี
            ในปี 1975 Bellarmino Bagatti นักพรตฟรังซิสกันและเป็นนักโบราณคดีด้วย ได้ขุดค้นที่บริเวณนั้นและได้พบหลักฐานเป็นสุสานสมัยโบราณที่มีอายุย้อนหลังไปในศตวรรษที่ 1  โครงสร้างของสุสานโดยทั่วไปประกอบด้วยห้องสามห้อง แต่ถ้ำฝังพระศพของพระนางมารีย์จะเป็นถ้ำเดี่ยวแยกจากถ้ำอื่นที่มีสามห้อง
            มีการสร้างโบสถ์ในบริเวณนั้น และถ้ำฝังพระศพของแม่พระอยู่ทางทิศตะวันออกของโบสถ์
            ในปี 614 พวกเปอร์เซียได้มารุกรานและทำลายโบสถ์ ในศตวรรษต่อมาจึงได้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่ มีการทำลายและสร้างโบสถ์ใหม่หลายครั้ง แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องถ้ำของแม่พระ เพราะพวกมุสลิมก็นับถือแม่พระด้วยเช่นกัน
            ปัจจุบันโบสถ์และถ้ำของแม่พระอยู่ในความดูแลของ. Armenian Apostolical Church of Jerusalem และ Greek Orthodox Church,

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น