พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2024 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสัปดาห์ที่ 4

           หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
(ลูกา 1:39-45)








วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน


ฉลองวันที่ 14 ธ.ค. บิดาของนักบุญยอห์นถูกบรรดาญาติของเขาตีตัวออกห่าง เพราะเขาไปแต่งงานกับหญิงกำพร้าที่ยากจน และนักบุญยอห์นซึ่งเกิดจากหญิงผู้นี้และได้รับการเลี้ยงดูมาด้วยความยากจนจึงเลือกความยากจนนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของท่าน ท่านไม่สามารถเรียนรู้เรื่องการค้าขาย ท่านกลายเป็นผู้รับใช้ของคนยากจนในโรงพยาบาล Medina ในขณะที่ยังคงเล่าเรียนศึกษาอยู่(โดยดูแลคนวิกลจริต) ในปี ค.ศ. 1563 เมื่ออายุได้21ปี ,ด้วยความถ่อมตน,ท่านได้ถวายตัวเป็นบราเดอร์ฆราวาสในคณะนักพรตคาร์เมไลต์(ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่คณะกำลังประสบปัญหานักบวชประพฤติหย่อนยาน ไม่เคร่งครัดในวินัย) อย่างไรก็ตาม,ด้วยความรู้ความสามารถของท่าน,ท่านได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ ตอนนี้ท่านคิดจะเปลี่ยนไปเป็นพระสงฆ์ในคณะคาร์ทูเซียนที่เคร่งครัด นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา,ด้วยสัญชาตญาณของนักบุญ,ได้ชักชวนให้ยอห์นคงอยู่ในคาร์เมไลท์และช่วยเธอในการปฏิรูประเบียบวินัยของคณะที่ยอห์นอยู่ ท่านตอบรับเข้าร่วมการปฏิรูป และได้ช่วยก่อตั้งอารามหลายแห่งในสเปน อย่างไรก็ตาม ท่านกลับถูกต่อต้านจากเพื่อนภราดาในคณะ เพราะเห็นว่าแนวทางการปฏิรูปของท่านเคร่งครัดเกินไป ท่านถูกอัคราธิการของคณะสั่งขังอยู่นานถึง 9 เดือน จึงหนีออกมาได้ ตลอดช่วงเวลาที่ถูกขังท่านได้เขียนวรรณกรรมเชิงรหัสยะหลายชิ้นซึ่งได้รับยกย่องมากในปัจจุบัน  
 
ท่านยังดำเนินการปฏิรูปคณะต่อจนส่งผลให้ภราดาคณะคาร์เมไลท์ในกลุ่มของท่านได้แยกตัวออกมาจากคณะเดิมและได้รับอนุมัติจากพระสันตะปาปาให้มีสิทธิปกครองตนเองโดยไม่ขึ้นกับคณะเดิม คณะใหม่นี้มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่าคณะคาร์เมไลท์ไม่สวมรองเท้า ก่อนที่ยอห์นจะเสียชีวิต,ท่านยังถูกนักพรตพี่น้องร่วมคณะเบียดเบียนข่มเหงและถูกทำให้อับอายขายหน้าถึงสองครั้ง แต่การถูกละทิ้งจากผู้คนอย่างสมบูรณ์ทำให้สันติสุขภายในของยอห์นลึกซึ้งยิ่งขึ้นและมีความปรารถนาเพื่อสวรรค์เท่านั้น
  
พิจารณาไตร่ตรอง—"การมีชีวิตอยู่ในโลก" นักบุญยอห์นกล่าว "จงทำราวกับว่าพระเจ้าและวิญญาณของท่านเท่านั้นที่อยู่ในโลก แล้วหัวใจของท่านจะไม่มีวันถูกจับจองโดยสิ่งของทางโลก" 

นำมาจากหนังสือ “Lives of the Saints “
  

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

พระบิดาและพระบุตร


พระองค์ทรงเป็นพระวจนาตถ์ อันหมายถึง พระองค์ทรงเป็นแสงรัศมีแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา,ทรงกระทำทุกสิ่งตามน้ำพระทัยของพระองค์,ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทรงเป็นพระฉายาลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทรงเป็นความอุดมบริบูรณ์ของพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยความอุดมบริบุรณ์ ทรงเป็นพระปรีชาญาณของพระองค์ผู้ทรงปรีชาญาณ ทรงเป็นฤทธานุภาพของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ทรงเป็นสัจจะของพระองค์ผู้ทรงสัจจะ ทรงเป็นชีวิตของพระองค์ผู้ทรงชีวิต
 
ดังนั้น,ด้วยความเห็นพ้องต้องกัน,คุณลักษณะของพระบิดาและพระบุตร คือไม่มีความแตกแยกหรือความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น,แต่ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งเดียวกัน
 
- นักบุญอัมโบรส
 

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ความสุขในสวรรค์


ร่างกายที่ฟื้นคืนชีพของเราจะเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามและความมัวหมองของบาป
>>>อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

รางวัลของผู้ใจบุญ


นักบุญวินเซนต์ เฟร์เรอร์ ได้เล่าเรื่องต่อไปนี้ ซึ่งเราจะได้พบว่านักบุญโยเซฟได้เข้ามาบรรเทาช่วยเหลือคนหนึ่งที่กำลังจะสิ้นใจ ท่านได้มาพร้อมกับพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์
 
พ่อค้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้มีใจศรัทธาแห่งบาเลนเซียในสเปน มีนิสัยชอบเชิญคนยากจนสามคน ซึ่งประกอบด้วยชายชรา,ผู้หญิง,และเด็ก,มารับประทานอาหารในวันคริสต์มาสเพื่อเป็นเกียรติแก่ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เขานึกถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า "สิ่งใดก็ตามที่ท่านกระทำต่อพี่น้องที่ต่ำต้อยที่สุดของเรา ท่านได้กระทำต่อเราเอง" ด้วยเหตุนี้,เขาจึงมองบุคคลทั้งสามที่เชิญมาด้วยสายตาแห่งศรัทธา,และปรนนิบัติรับใช้พวกเขาด้วยความห่วงใยและด้วยความรักอย่างสูงสุด หลังจากพ่อค้าคนนี้ได้ตายไป,วิญญาณของพ่อค้าผู้ใจบุญปรากฏตัวต่อคนใจศรัทธาบางคนที่กำลังสวดภาวนาเพื่อเขา เขาบอกกับคนเหล่านี้ว่า ขณะที่เขากำลังจะสิ้นลมหายใจ พระเยซูเจ้า,แม่พระ,และนักบุญโยเซฟได้ประจักษ์แก่เขา และได้พูดกับเขาด้วยถ้อยคำที่ปลอบประโลมใจต่อไปนี้: "บัดนี้เรามาเพื่อเชิญท่านให้อาศัยอยู่กับเราตลอดไปในพลับพลานิรันดร์ของเรา เพื่อตอบแทนการต้อนรับด้วยความรักซึ่งท่านให้แก่เราขณะที่ท่านอยู่ในโลกนี้" จากนั้นพ่อค้าก็เล่าต่อไปว่า ทั้งสามบุคคลได้นำวิญญาณของเขาไปยังงานเลี้ยงนิรันดร์ในสวรรค์ในทันที โอ,พ่อค้าผู้โชคดี!ที่ได้มีส่วนร่วมในการเดินทางอันน่ายินดี เพราะเขาได้สะสมทรัพย์สมบัติของเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซู,มารีย์,และโยเซฟ
 
Source:A Manual of Practical Devotion to St. Joseph
 

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

คุณพ่อปีโอและอัศจรรย์สายฝน


ชายซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มผู้หนึ่งออกจากอารามในรอตตอนโดในเวลาเย็นมาก และเมื่อเขากำลังจะออกไป,เขาสังเกตเห็นว่าฝนกำลังตก เขาพูดกับคุณพ่อปีโอว่า “ผมไม่มีร่ม ผมขออยู่ที่นี่จนถึงเช้าได้ไหม ถ้าผมไปในตอนนี้ผมจะต้องเปียกฝน" “ขอโทษนะ,มันเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวลหรอก พ่อจะไปกับคุณด้วย!” คุณพ่อปีโอตอบ ชายคนนั้นคิดว่าให้ถือว่านี่เป็นการใช้โทษบาปอย่างหนึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากคุณพ่อปีโอ การเดินทางอาจลำบากน้อยลง ดังนั้นเขาจึงสวมหมวกและออกเดินทางไปเป็นระยะทางสองไมล์ระหว่างอารามกับหมู่บ้านของเขา แต่ทันทีที่เขาออกไป,เขาก็พบด้วยความประหลาดใจว่าฝนไม่ตกแล้ว เมื่อถึงบ้านก็มีแต่ฝนปรอยๆ “พระเจ้า!” ภรรยาของเขาอุทานขณะที่เปิดประตู “คุณต้องเปียกไปถึงกระดูกแน่!” “ไม่มีอะไรหรอก” เจ้าของฟาร์มตอบ “ฝนไม่ตก” คนงานที่เป็นชาวนาที่อยู่ที่นั่นมองหน้ากันและงุนงงพูดว่า: "อะไรนะ! ฝนไม่ตกแล้วเหรอ? ฝนตกหนักมากนะ! ฟังสิ!". พวกเขาเปิดประตูอีกครั้งและฝนกำลังตก พวกเขาบอกว่าฝนตกนานกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยไม่หยุดเลย “คุณมาที่นี่โดยไม่เปียกได้ยังไง?” พวกเขาถาม เจ้าของฟาร์มตอบว่า: “คุณพ่อปีโอบอกว่าท่านจะมากับผมด้วย” ดังนั้นชาวนาจึงตระหนักว่านี่เป็นอัศจรรย์อีกครั้งจากคุณพ่อปีโอ และพวกเขาแสดงความคิดเห็นว่า: "ตอนนี้ทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว" พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องครัวอย่างสงบเพื่อรับประทานอาหารเย็น ภรรยาของเขาพูดว่า: “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การมีคุณพ่อปีโอมาด้วย ดีกว่ามีร่ม!”  

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

พ่อแม่ควรให้พรแก่ลูกๆของตน


พระสันตะปาปาเบเนดิกต์เล่าประสบการณ์ในวัยเด็กของพระองค์เมื่อได้รับพรจากพ่อแม่:  
 
“ข้าพเจ้าจะไม่ลืมความศรัทธาและความห่วงใยจากหัวใจของพ่อและแม่เลย ท่านทำเครื่องหมายกางเขนที่หน้าผาก, ปาก,และหน้าอกของพวกเราที่เป็นลูก,เมื่อเวลาที่เราจะออกจากบ้าน โดยเฉพาะเวลาที่พวกเราต้องอยู่ห่างเหินกันนานๆ เครื่องหมายแห่งการให้พรนี้เปรียบเสมือนการคุ้มครองป้องกันที่เรารู้ว่าจะนำทางเราไปในการเดินทางของเรา มันเป็นคำภาวนาที่มองเห็นได้ของพ่อแม่ของเราซึ่งไปกับพวกเรา และทำให้พวกเรามั่นใจว่าคำภาวนานี้ได้รับการสนับสนุนจากการอวยพรของพระผู้ไถ่ของเรา...ข้าพเจ้าเชื่อว่านี้คือการอวยพร,ซึ่งพวกท่านแสดงตนอย่างชัดเจนในฐานะพระสงฆ์ผู้โปรดศีลล้างบาป สิ่งนี้ควรทำให้ชีวิตประจำวันของเราเข้มแข็งมากขึ้น"**