พระเมตตาของพระเยซูเจ้า

จงบอกมนุษยชาติที่กำลังเจ็บป่วย ให้เข้ามาใกล้หัวใจอันเมตตาของเรา แล้วเราจะประทานสันติภาพให้แก่มนุษยชาติ พระเมตตาของเราไม่มีวันสิ้นสุดเลย

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2025 ผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง

          พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า ‘มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า” ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’’
(ลูกา 18:9-14)








วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2567

การาบังดัล เป็นการเรียกร้องให้กลับใจ


ความทุกข์อันใหญ่หลวงของโลกทุกวันนี้คือความทุกข์ที่สืบเนื่องมาจากบาปของมนุษย์ โลกจะต้องทนทุกข์ต่อไปจนกว่ามนุษย์จะหันเหออกจากบาปและกลับมาหาพระเจ้า แน่นอนว่าการกำจัดบาปคือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ และการนำมนุษย์ออกจากวิถีทางที่ชั่วร้ายเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ส่งคำเตือนบ่อยครั้งถึงการลงทัณฑ์ที่จะเกิดขึ้น 
การาบังดัล เป็นการเรียกร้องให้กลับใจ,จากพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระทัยเมตตาและการให้อภัย การปฏิเสธที่จะฟังคำเตือนและไม่ยอมรับการอภัยโทษจากพระเจ้า,จะเท่ากับบังคับให้พระยุติธรรมของพระเจ้าบังเกิดขึ้น แต่ในการลงทัณฑ์นี้ก็เป็นเช่นเดียวกับการลงทัณฑ์อื่นๆ การลงทัณฑ์จะใช้เฉพาะเมื่อมนุษย์ไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นและความชั่วแพร่กระจายไปทั่วทุกด้าน ถ้าหากในที่สุด,พระเจ้าถูกบังคับให้ส่งการลงทัณฑ์มาสู่โลก, การลงทัณฑ์นั้นก็มาจากความรักและใช้เพื่อการกลับใจของมนุษย์ และตอบสนองต่อการเรียกร้องของพระยุติธรรม 
อย่างไรก็ตาม,คอนชิต้าได้บอกว่า การลงทัณฑ์นั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้,ถ้าโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น 
นำมาจาก - “NEEDLES” magazine, Oct. -Dec. 1979, pg. 3-4, By Fr. Joseph Pelletier  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น