ในปี 1683 ซุลต่านเมลเหม็ดที่ 4 ประกาศสงครามจีฮัด และให้แกรนด์วีเซียร์แห่งตุรกีคือ
คารา มุสตาฟา เป็นผู้นำกองทัพเข้ายึดเวียนนาด้วยทหาร
150,000 นาย
การรุกรานของกองทัพออตโตมานพุ่งเป้าไปที่คริสต์ศาสนา โซเบียสกีแห่งโปแลนด์จึงเข้าช่วยเหลือโดยไม่ลังเล เพราะพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 ทรงวอนขอท่านให้ช่วยคริสตชนในยุโรปด้วย
กองกำลังพิทักษ์ปกป้องเมืองเวียนนาในขณะนั้นคือ เออร์เนส รัดดิเจอร์
ฟอน สตาร์เฮมเบอร์ก เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง
โซเบียสกีทำตามสนธิสัญญาที่เคยให้ไว้และทำตามคำร้องขอของพระสันตปาปา เขาได้นำทัพเดินทางไปที่เวียนนาพร้อมด้วยทหาร
30,00 นาย
ทหารพยายามปกป้องเมืองเวียนนาอย่างสุดกำลัง แต่กองทัพออตโตมานใช้วิธีตัดเสบียงอาหารจากทุกแหล่ง และใช้กำลังโจมตีอย่างหนักเพื่อทำลายกำแพงเมืองให้ได้
กองทัพตุรกีใกล้จะยึดเมืองได้สำเร็จแล้ว ขณะที่กองทัพของโซเบียสกีและภาคีคือชาร์ลแห่งลอเรนส์ก็เดินทางมาถึง
ชาร์ลนำทหารมาด้วย 50,000 นาย และท่านยอมให้โซเบียสกีเป็นผู้นำ เพราะเขามีประสบการณ์ในการรบกับพวกเติร์กมาก่อน
สงครามเริ่มต้นขึ้นก่อนที่กองกำลังทั้งหมดจะมาถึงครบทุกส่วน ตอนเช้าตรู่กองทัพเติร์กเข้าบุกโจมตีก่อน เพื่อทำให้ภาคีกองทัพศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถรวมตัวกันได้ ชาร์ลแห่งลอเรนส์เคลื่อนทัพไปด้านซ้าย กองทัพเยอรมันบุกเข้าตรงกลาง ส่วนกองทัพออสเตรียไปทางด้านขวา แต่ยังขาดกองทหารของจักรวรรดิ(โปแลนด์)
ในที่สุดทหารม้าโปแลนด์ก็มาถึงและเข้าโจมตีทางปีกขวา ทหารเยอรมัน-ออสเตรีย และทหารม้าโปแลนด์รวมกัน
20,000 นายเดินทัพลงมาจากเนินเขาเป็นระลอกๆ
นำโดยโซเบียสกีเป็นแนวหน้าพร้อมกับนายทหาร 3,000
คนเป็นหัวหอกโดยไม่ครั่นคร้ามหวั่นเกรง
เมื่อทหารม้าโปแลนด์โจมตีแนวหน้าของเติร์ก กองทหารรักษาการณ์ชาวออสเตรียที่อยู่ในเมืองก็บุกเข้าโจมตีกองทัพเติร์กที่อยู่ด้านหลัง
กองทัพออตโตมานต้องประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญ....
สงครามที่เวียนนาซึ่งนักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นสงครามที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก ได้ช่วยคริสตชนในยุโรปให้รอดพ้นจากการยึดครองของเติร์กและเป็นจุดสิ้นสุดของการขยายอาณาจักรของเติร์ก(อิสลาม)
หลังจากสงครามเสร็จสิ้น โซเบียสกีได้เอ่ยวาจาของจูเลียส ซีซาร์ ซึ่งกล่าวว่า”vini vidi
deus vicit”
“ข้ามา ข้าเห็น
พระเจ้าทรงได้ชัยชนะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น