บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ศิษย์รู้ว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเป็นเจ้าโดยทรงจำแลงพระกายอย่างรุ่งเรือง
ทรงประทับยืนอยู่ระหว่างโมเสสและเอลิยาห์ 
หมายถึงพระเยซูเจ้าทรงเป็นดังสะพานเชื่อมโยงกฏบัญญัติของโมเสสเข้ากับคำทำนายและบทสดุดีต่างๆของประกาศกซึ่งกล่าวไว้ถึงองค์พระผู้ไถ่  โมเสสปีนขึ้นบนภูเขา  พระเยซูเจ้าทรงกระทำเช่นเดียวกันและเสด็จไปพร้อมกับศิษย์สามคน 
และพระสิริของพระเป็นเจ้าได้ปรากฏให้เห็นในท่ามกลางกลุ่มเมฆ (โมเสสเห็นพระสิริของพระเป็นเจ้าเป็นไฟไหม้พุ่มไม้แต่พุ่มไม้มิได้มอดไหม้)  เอลิยาห์ – เช่นเดียวกันได้ปีนขึ้นบนภูเขาโฮเรบและได้ยินเสียงของพระเป็นเจ้าในสายลมอ่อนๆ
 ศิษย์ทั้งสามก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเป็นเจ้าในกลุ่มเมฆด้วย
มีคำทำนายว่าเอลิยาห์จะปรากฏมาล่วงหน้าก่อนพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา  ในวันนี้พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งเรือง
เพื่อให้ศิษย์ได้รับรู้ว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่เสด็จมาแล้ว
พระสุรเสียงของพระเป็นเจ้าประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรสุดที่รักของพระองค์  ซึ่งพระองค์พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง (ดู สดุดี 2:7)  ในขณะนั้น
พระเป็นเจ้าทรงให้เราเห็นพระองค์ในพระสิริอันรุ่งเรืองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  ในท่ามกลางกลุ่มเมฆขององค์พระจิตเจ้า  พระบิดาทรงเปิดเผยความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อองค์พระบุตร  และทรงเชื้อเชิญให้เรามีส่วนร่วมในความรัก  โดยให้เราเป็นบุตรชายและหญิงสุดที่รักของพระองค์ด้วย
ในกลุ่มเมฆแห่งสวรรค์  พระภูษาของพระเยซูเจ้าเปลี่ยนเป็นสีขาวส่องแสงเจิดจ้า 
พระองค์คือบุตรแห่งมนุษย์ผู้ซี่งประกาศกดาเนียลได้เห็นในนิมิต  ดังในบทอ่านที่หนึ่งของวันนี้
พระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองโลกทั้งมวล  ตามบทเพลงที่เราขับร้องในวันนี้ 
แต่พระองค์จักต้องเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองจิตใจและวิญญาณของเราด้วย
และสุดท้าย พระดำรัสของพระเป็นเจ้าทรงสั่งเราว่า
“จงเชื่อฟังพระองค์เถิด” 
พระวาจาของพระเยซูเจ้าเป็นตะเกียงที่ส่องสว่างในความมืดมิดแห่งชีวิตของเรา  ดังที่นักบุญเปโตรได้บอกกับเราในบทอ่าน 
             ในวันนี้ให้เราฟังเสียงของพระองค์  ให้เราฟังพระวาจาอันทรงชีวิตขององค์พระบุตรซึ่งให้ชีวิตนิรันดรแก่เรา

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น