เวลาผ่านไป 1 ปีแล้วตั้งแต่ที่กลุ่มอิสลามสเตท ISIS เข้ามาในอิรัก (10 มิ.ย.
2014) และยึดเมืองโมซุล ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ
ชาวบ้านถูกผู้ก่อการร้ายบังคับให้ต้องยอมรับเงื่อนไขสามประการคือ
1. เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม 2 จ่ายค่าปรับ 250 ดอลลาร์ในการเป็นคริสตชน หรือ 3.
ยอมรับความตาย ชาวบ้านนับพันคนตัดสินใจอพยพหนีออกจากถิ่นฐานบ้านช่องของเขา เพื่อไม่ต้องทำตามเงื่อนไข
หลายคนอพยพไปอยู่ที่ เคอร์ดิสถาน
ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองของอิรัก
ชาวบ้านที่นั่นมีชีวิตที่สงบสุข
พระสังฆราช บาร์ชา วาร์ดา ซึ่งมาจาก Erbil ที่เป็นเมืองหลวงของเคอร์ดิสถาน กล่าวว่ามีคริสตชนมาที่นี่ทุกวันเพื่อหาที่ลี้ภัย
ท่านเห็นน้ำตาของพวกเขาและฟังเรื่องราวความรุนแรงที่พวกเขาได้รับ
พระสังฆราช บาร์ชา แห่ง เออร์บิล (เคอร์ดิสถาน)
“ผมรู้สึกเหนื่อย
ผมได้เห็นคนจำนวนมากที่อยู่ในความยากลำบาก
และความต้องการก็มีมากขึ้นทุกวัน
มีคนมาเคาะประตูโบสถ์ในสังฆมณฑลของผมเพื่อขอความช่วยเหลือและที่พักพิง ขอการรักษาพยาบาล การศึกษา..และความจำเป็นอื่นๆ
ถึงแม้จะผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
แต่สถานการณ์ก็ยังไม่จบสิ้น
พระสังฆราชกล่าวว่าผู้นำชาวมุสลิมจำเป็นต้องออกมาประณามการโจมตีและการกระทำของ
Islamic State
“ถ้าผู้นำมุสลิมไม่ออกมาประณาม เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็ยังคงมีอยู่เรื่อย
และชาวมุสลิมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการลดทอนชื่อเสียงของอิสลาม
แต่มันเป็นการที่พวกเขาทำลายชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก”
กลุ่ม Islamic State เข้าควบคุมพื้นที่ 40 เปอร์เซ็นต์ของอิรัก
และ ครึ่งหนึ่งของประเทศซีเรีย
พระสังฆราชกล่าวว่า
กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้เป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่จำเป็นต้องหยุดมันให้ได้
“ผมเชื่อว่ากลุ่มนี้เป็นเหมือนมะเร็งร้าย สิ่งที่แรกที่คุณต้องทำเพื่อต่อสู้กับมะเร็งก็คือการหยุดมันให้ได้ เพราะไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว ไม่มีทางที่จะไปต่อรองกับพวกเขาหรือมีวิธีแก้ปัญหาแบบอื่น”
ด้วยการใช้ปฏิบัติการทางทหาร พระสังฆราชเชื่อว่าจะช่วยเยียวยาปัญหาของอิรักทั้งชนส่วนใหญ่และชนส่วนน้อยของประเทศ ท่านคิดว่า
นานาชาติจำเป็นต้องตอบสนองด้วยวิถีทางการเมืองและการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม
ท่านกล่าวว่า
ผู้ลี้ภัยและชนส่วนน้อยต่างศาสนาไม่ต้องการละทิ้งอิรัก พวกเขาต้องการกลับบ้าน
แต่มันเป็นเรื่องยากมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น